วันศุกร์, พฤศจิกายน 22, 2024
spot_img
หน้าแรกCOLUMNISTSเศรษฐกิจไทยในห้วง...“สุญญากาศ” จะ“ออกหัวหรือก้อย”
- Advertisment -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

เศรษฐกิจไทยในห้วง…“สุญญากาศ” จะ“ออกหัวหรือก้อย”

นับถอยหลังเหลือเวลาราวๆ เดือนกว่าๆ เนื่องจากในวันที่ 23 มี.ค.66 สภาชุดนี้ก็จะอยู่ครบวาระ 4 ปี จะต้องจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่ ภายใน 45 วัน ตอนนี้พรรคการเมืองต่างๆ เริ่มโหมโรง บรรดารัฐมนตรีรวมทั้ง “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” นายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้ารัฐบาล ก็สนุกอยู่กับการตระเวนเยี่ยมเยือนชาวบ้านในต่างจังหวัด ซึ่งเป็นที่รู้กันว่า ภารกิจดังกล่าวคือการหาเสียง เตรียมตัวเลือกตั้งตามที่ “พรรครวมไทยสร้างชาติ” (รทสช.) วางโปรแกรมไว้ไม่มีเวลาบริหารราชการแผ่นดิน บรรดารัฐมนตรีก็พากันทิ้งงานในกระทรวง ช่วงนี้จึงไม่มีผลงานอะไรออกมาเป็นชิ้นเป็นอัน

ยิ่งเวลาการเลือกตั้งงวดเข้ามาเรื่อยๆ ส.ส.หลายคนต่างทยอยลาออกจากพรรคเดิม เพื่อสังกัดพรรคใหม่ ทำให้สภาฯเปิดประชุมไม่ได้ ส.ส.ไม่ครบองค์ประชุม การเมืองไทยตอนนี้จึงอยู่ในช่วง “สุญญากาศ” จึงเปิดช่องให้ข้าราชการ “เกียร์ว่าง” ปกติเวลาใกล้ฤดูเลือกตั้ง ข้าราชการก็มักจะปล่อย “เกียร์ว่าง” เพื่อรอดูทิศทางลมทางการเมือง ว่าพรรคไหนจะมาเป็นรัฐบาล

เมื่อการเมืองเกิด “สุญญากาศ” ผสมโรงกับ “ข้าราชการเกียร์ว่าง” ทำให้ไม่มีนโยบายสำคัญๆ ออกมาขับเคลื่อนให้ประเทศเดินหน้า จึงไม่แปลกใจที่มีการคาดการณ์จากสำนักวิจัยเศรษฐกิจระดับโลกจะประเมินจีดีพี.ของไทยตามหลังเพื่อนบ้านแถบประเทศอาเซียนด้วยกัน เมื่อเร็วๆ นี้มีรายงานข่าวว่า นักลงทุนกว่า 2,000 โครงการเมินไทย หันไปลงทุนเวียดนาม ขณะที่การส่งออกก็มีปัญหาจากเศรษฐกิจโลกชะลอตัวและเงินบาทแข็งค่า

การท่องเที่ยวไทยที่เป็นความหวังจะมาทดแทนส่งออก เริ่มจะฟื้นตัว ยังไม่ทันไร ก็มีข่าวตำรวจรีดไถเงินนักท่องเที่ยวตอนนี้กลายเป็นข่าวดังทั่วโลก ทำให้ประเทศไทยเสียภาพลักษณ์อย่างมาก รวมถึงการฉกฉวยของคนที่เกี่ยวข้อง “เห็นแก่ได้” โก่งราคาฟันนักท่องเที่ยวต่างชาติ จนต้องร้องโวยวาย ทำให้การท่องเที่ยวของไทยเสียหาย

ตอนนี้ขยะที่เคยซุกอยู่ใต้พรม ค่อยๆ ทยอยโผล่ กรณีทุนจีน ทั้งทุนจีนเทาและจีนขาว ที่เข้ามายึดประเทศไทย มาแย่งอาชีพคนไทยในกรุงเทพฯ ย่านเยาวราช สำเพ็ง ห้วยขวาง และเมืองท่องเที่ยวอย่างภูเก็ต เชียงใหม่ พัทยา โดยเฉพาะทุนจีนเทามาสร้างอิทธิพล ทำธุรกิจมืดอย่างค้ายาเสพติด การพนันออนไลน์ การกู้เงินผ่านแอปพลิเคชั่น กลุ่มคอลเซ็นเตอร์ เป็นต้น

ปัญหาเหล่านี้ถูกปล่อยปละละเลยจากเจ้ากระทรวงที่รับผิดชอบ กลายเป็นปัญหาสังคม ซ้ำร้ายเจ้าหน้าที่รัฐ โดยเฉพาะตำรวจและคนในแวดวงการเมือง กลับทำตัวเป็น “แนวร่วมใกล้ชิด” กับ “ขบวนการจีนเทา” ทั้งที่เป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ

ค่าไฟแพง

ขณะที่ภาคธุรกิจและภาคประชาชนกำลังเดือดร้อนอย่างหนักจาก ค่าไฟฟ้าแพง เฉพาะอย่างยิ่งโรงงานอุตสาหกรรมที่ผลิตเพื่อการส่งออก ค่าไฟฟ้าแพงทำให้ต้นทุนสูง ไม่สามารถแข่งขันได้ นักลงทุนที่คิดจะเข้ามาลงทุน ก็พากันหันหัวเรือไปลงทุนในประเทศเพื่อนบ้านแทน เพราะรับภาระค่าไฟฟ้าแพงกว่าเท่าตัวไม่ไหว ปัญหาทั้งหลายทั้งปวงแทบไม่ได้รับการแก้ไข อันเกิดจากรัฐมนตรีในกระทรวงที่รับผิดชอบ ข้าราชการในกระทรวงต่างก็พากันเกียร์ว่างไม่มีใครดูแล

ยิ่งในห้วงเวลาที่มีการเลือกตั้ง รัฐบาลก็จะเป็นรัฐบาลรักษาการที่ไม่มีอำนาจตัดสินใจเรื่องสำคัญ ต้องรอจนกว่าจะเลือกตั้งเรียบร้อยและมีรัฐบาลใหม่เข้ามารับไม้ต่อ ตามปฏิทินสภาจะครบวาระ 23 มี.ค.2566 และต้องเลือกตั้งภายใน 45 วัน (วันเลือกตั้งคือวันที่ 7 พ.ค.2566) แต่ถ้ามีการยุบสภาก่อน ซึ่งตามรัฐธรรมนูญต้องเลือกตั้งภายใน 45-60 วันแต่กว่าจะประกาศรายชื่อส.ส.ครบ คาดว่าจะได้รัฐบาลชุดใหม่และประกาศนโยบายต่อสภาฯได้ ก็ราวๆปลายเดือน มิ.ย.2566

นั่นแปลว่า ประเทศไทยจะตกอยู่ในห้วงสุญญากาศทางการเมือง การบริหารประเทศและข้าราชการเกียร์ว่างอย่างน้อยครึ่งปี รัฐบาลใหม่กว่าจะเข้าที่เข้าทาง มีเวลาทำงานจริงๆ คงแค่ไม่กี่เดือนเท่านั้น

การที่ประเทศเกิดสุญญากาศทางการเมือง มีแต่รัฐบาลรักษาการ ไม่มีอำนาจบริหารจัดการอย่างเต็มไม้เต็มมือ ข้าราชการก็อยู่ในสภาพเกียร์ว่าง ในช่วงสถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่ชะลอลง จึงเป็นเรื่องที่น่าวิตกอย่างยิ่ง ในปีนี้นักวิเคราะห์ต่างพากันคาดการณ์ว่า ยังมีหลายปัจจัยเสี่ยงที่มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทย ทั้งปัญหาดอกเบี้ยสหรัฐ เงินเฟ้อทั้งของโลกและเงินเฟ้อของไทย แม้ว่าตอนนี้จะมีแนวโน้มดีขึ้นตาม แต่ก็ยังวางใจไม่ได้

สงครามรัสเซีย-ยูเครนยังยืดเยื้อ

สงครามรัสเซีย-ยูเครนก็ยังเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ต้องติดตาม นักวิเคราะห์ต่างชาติพากันวิเคราะห์ว่า อาจจะมีการสู้รบครั้งใหญ่ภายใน 2-3 เดือนข้างหน้า จะทำให้สงครามรัสเซีย-ยูเครนจะรุนแรงขึ้นในอีก 6 เดือนข้างหน้า หากเป็นไปตามที่นักวิเคราะห์ทำนาย ก็ส่งผลกระทบเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทย อย่างมิอาจหลีกเลี่ยง

รวมไปถึง ปัจจัยเสี่ยงจากแนวโน้มวิกฤตหนี้กลุ่มประเทศเกิดใหม่ จะมีแนวโน้มลดลงหรือไม่ ตอนนี้มีหลายประเทศเกิดใหม่ จ่อคิวล้มละลาย จากปัจจัยเสี่ยงดังกล่าวย่อมส่งผลกระทบเศรษฐกิจไทยโดยตรง เนื่องจากการส่งออกเป็นเครื่องยนต์หลักในการปั๊มรายได้เข้าประเทศ ซึ่งต้องพึ่งพาตลาดต่างประเทศ แม้จะมีรายได้จากการท่องเที่ยวมาชดเชย หลังจากที่จีนเปิดประเทศก็ตาม แต่ก็เป็นแค่ส่วนหนึ่ง อีกทั้งภาคการท่องเที่ยวเองก็ยังไม่ฟื้นเต็มที่ แถมยังมีปัญหาที่ซุกอยู่ใต้พรมอีกมากมาย

“กระแส” หรือจะสู้ “กระสุนเงิน”

ที่จริงบรรยากาศทางการเมืองแบบนี้เริ่มมาตั้งแต่ปีที่แล้ว สะท้อนจากรณีสภาฯล่มบ่อยๆ ถือว่าบ่อยที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองไทยเลยก็ว่าได้ ทำให้การพิจารณากฎหมายสำคัญๆ หลายฉบับ ไม่คืบหน้า รัฐมนตรีในรัฐบาลก็ไม่ให้ความร่วมมือในการมาตอบกระทู้ของส.ส.ในสภาฯ ทำให้การเสนอปัญหาของชาวบ้านไม่ได้รับการสนองตอบ

แม้การเลือกตั้งทุกครั้งจะมีเม็ดเงินสะพัดช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจจำนวนไม่น้อย เมื่อเร็วๆ นี้ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทยคาดว่า ในการเลือกตั้งครั้งนี้จะมีเม็ดเงินสะพัดราว 40,000-50,000 ล้านบาท ก็จะทำให้จีดีพี.โตได้อีกราว 1% กว่าๆ แต่ก็เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงสั้นๆ เท่านั้น

………………

คอลัมน์ : เศรษฐศาสตร์ข้างทาง

โดย “ทวี มีเงิน”

สนับสนุนคอลัมน์ โดย :   บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน)

- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_imgspot_img

Featured

- Advertisment -spot_img
Advertismentspot_imgspot_img
spot_imgspot_img