ขณะที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว ทั้งกระทรวงการท่องเที่ยวและการกีฬา การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) รวมถึงสำนักวิเคราะห์เศรษฐกิจทั้งหลายต่างประเมินว่า ปีนี้ทั้งปี จะมีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาเที่ยวประเทศไทยไม่ต่ำกว่า 25 ล้านคน ดูแล้วทุกอย่างน่าจะสดใสไปได้ดี
แต่สำหรับ “บรรดาผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวไทย” กลับนั่งกันไม่ติด เพราะทันทีที่จีนเปิดประเทศ เริ่มมีนักท่องเที่ยวจีนมาเที่ยวไทยมากขึ้น เท่านั้นแหละ “ทัวร์ศูนย์เหรียญ” ที่หายไปกับการแพร่ระบาดโควิด-19 เมื่อ 3 ปีก่อน ก็กำลังฟื้นคืนชีพตามมาหลอนธุรกิจท่องเที่ยวไทยอีกครั้ง
สัญญาณเริ่มเกิดขึ้นจากกรณีมี บริษัทนำเที่ยว (เอเย่นต์ทัวร์) ในฝั่งจีนจำนวนหนึ่ง โหมโปรโมตขายแพ็กเกจทัวร์เที่ยวไทยที่มีราคาต่ำกว่าต้นทุน หรือที่เรียกกันว่า “ทัวร์ศูนย์เหรียญ” กันอีกครั้ง
คงจำกันได้ “ทัวร์ศูนย์เหรียญ” เคยสร้างปัญหาให้กับธุรกิจท่องเที่ยวไทยมากมาย กระทั่งสถานการณ์โควิด-19 แพร่ระบาด ทั้งไทยและจีนต่างปิดประเทศ คนออกเดินทางท่องเที่ยวไม่ได้ ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยวต้องปิดตัว ทำให้ “ทัวร์ศูนย์เหรียญ” ต้องหยุดพร้อมๆ โรงแรม ร้านค้า บริษัททัวร์ รถตู้ร้านอาหาร ร้านขายของที่ระลึกและธุรกิจเกี่ยวเนื่องอื่นๆ พลอยโดนหางเลขต้องปิดกิจการ ไกด์ทัวร์หลายพันคนไม่มีงานทำ เพราะไม่มีลูกค้า
กล่าวสำหรับ “ทัวร์ศูนย์เหรียญ” คือ กลุ่มนักท่องเที่ยวในที่นี้คือ “นักท่องเที่ยวจีน” ที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทย โดยซื้อทัวร์จากประเทศของตนเอง ในราคาที่ต่ำกว่าต้นทุน ก่อนที่บริษัททัวร์เหล่านั้น จะส่งลูกทัวร์ทั้งกรุ๊ปมาให้บริษัททัวร์ในประเทศไทย โดยที่ไม่ต้องจ่ายค่าทัวร์แฟร์ อันเป็นค่าใช้จ่ายในการพาเที่ยวที่เก็บมาจากลูกทัวร์ให้กับเอเยนต์ฝ่ายไทยแม้แต่เหรียญเดียว (ส่วนใหญ่ก็เป็นของคนจีนใช้คนไทยบังหน้า) จึงเป็นที่มาของคำว่า “ศูนย์เหรียญ”
บรรดานักท่องเที่ยวจีนที่ถูกหลอก บริษัททัวร์จะมีวิธี “เรียกเงิน” ความจริงต้องเรียกว่า “รีดไถ” สารพัดวิธีเพื่อเอาทุนคืน ไม่ว่าจะเป็นการพาไปดูโชว์ลามก หรือการพานักท่องเที่ยวไปในสถานที่ต่างๆ ที่ต้องจ่ายเงินในราคาที่แพงกว่าปกติ หรือซื้อสินค้าไม่ได้มาตรฐาน
สูตรสำเร็จก็คือ ไกด์จะพาไปร้านขายสินค้าที่ระลึก หลอกขายเครื่องประดับในราคาที่แพงกว่าปกติหลายเท่าและรีดไถเอากำไรในส่วนต่างที่ไม่สมควรจะเรียกเก็บ หากไม่ยอมจ่ายหรือจ่ายน้อย ก็จะถูกกดดันด้วยวิธีต่างๆ เช่น ไม่ให้กุญแจห้อง ยึดพาสปอร์ต บางทีร้ายแรงถึงขั้นลงไม้ลงมือทำร้าย หรือลูกทัวร์อาจจะถูกลอยแพไปเลย
ส่วนสถานที่ที่พวกทัวร์ศูนย์เหรียญพาไป ล้วนมีกลุ่มทุนจีนเป็นเจ้าของ โดยใช้ คนไทย เป็น “นอมินี” หรือ “หุ่นเชิด” เริ่มตั้งแต่เช่ารถทัวร์ รถตู้ โรงแรม ร้านอาหาร สถานบันเทิง ร้านขายของที่ระลึก ทุกวันนี้ยิ่งหนัก เพราะทุนจีนเข้ามายึดธุรกิจคนไทยแทบทุกอย่าง เฉพาะอย่างยิ่งในย่านท่องเที่ยว ทั้งในกรุงเทพฯเยาวราช สำเพ็ง ห้วยขวาง ต่างจังหวัดที่เป็นเมืองท่องเที่ยว เช่น เชียงใหม่ ภูเก็ต ยิ่งทำให้พวกทัวร์ศูนย์เหรียญปฏิบัติการสะดวกยิ่งขึ้น
ปัญหาทั้งหลายทั้งปวง ตั้งแต่ไกด์เถื่อน รวมถึงนอมินี ฯลฯ มีต้นทางจากทัวร์ศูนย์เหรียญทั้งสิ้น รายได้จากภาคการท่องเที่ยว 3 ล้านล้านบาท เกิดการรั่วไหลไปอยู่ในกลุ่มนายทุนนอมินี หรือไหลออกนอกประเทศ ที่สำคัญ ทำให้โครงสร้างธุรกิจท่องเที่ยวของไทยผิดเพี้ยน เกิดความไม่เชื่อมั่น ทำให้เกิดระบบมาเฟียในธุรกิจท่องเที่ยว ทำให้ภาพลักษณ์การท่องเที่ยวไทยเสียหาย
ฉะนั้นเราจึงไม่ควรดีใจและไม่ควรดูแค่ตัวเลขนักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวเมืองไทย เพราะนักท่องเที่ยวที่มากับบริษัททัวร์นั้น ส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวที่มากับ “ทัวร์ศูนย์เหรียญ” คนกลุ่มนี้ จะซื้อทุกอย่างจากร้านคนจีนเป็นเจ้าของ รายได้จะตกอยู่ในกระเป๋าคนจีนขนกลับประเทศ ไทย อาจจะได้บ้างก็แค่เศษๆ
มีข้อมูลจากคนในแวดวงท่องเที่ยวระบุว่า การรั่วไหลทางการท่องเที่ยวของประเทศไทยในภาพรวมของปี 2559 ว่ามีสัดส่วนถึง 28.37% หากคำนวณรายได้ปี 2562 ที่มีรายได้รวม 3 ล้านล้านบาท มูลค่ารายได้ที่เกิดการรั่วไหลคิดเป็นมูลค่ามากถึงกว่า 8 แสนล้านบาท ซึ่งตัวเลขดังกล่าวนี้ยังไม่รวมการรั่วไหลจากปัญหาทัวร์ศูนย์เหรียญและทัวร์คิกแบ็ก ลองคิดดูว่าถ้ารวมเข้าไปด้วยจะเสียหายแค่ไหน
เหนือสิ่งใดผลกระทบที่จะได้รับในระยะยาว จะทำให้ประเทศไทยจะเสียภาพลักษณ์ นักท่องเที่ยวไม่ว่าจีนหรือต่างชาติจะมองว่าประเทศไทยเป็น “จุดหมายปลายทางราคาถูก” หักกลบลบกันแล้วได้ไม่คุ้มเสีย ฉะนั้นต้องรีบตัดไฟตั้งแต่ต้นลม
……………………………..
คอลัมน์ : เศรษฐศาสตร์ข้างทาง
โดย “ทวี มีเงิน”
สนับสนุนคอลัมน์ โดย : บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน)