วันศุกร์, พฤศจิกายน 22, 2024
spot_img
หน้าแรกCOLUMNISTSต่างชาติ“เช่าที่ดิน-ถือครองคอนโดฯ” ได้ไม่คุ้มเสีย
- Advertisment -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

ต่างชาติ“เช่าที่ดิน-ถือครองคอนโดฯ” ได้ไม่คุ้มเสีย

นโยบายให้ต่างชาติเช่าที่ดินและถือครองที่อยู่อาศัย เป็นนโยบายเจ็ดชั่วโคตร เถียงกันไม่จบว่า ประเทศได้อะไร จำได้ว่าเรื่องนี้เถียงกันมาตั้งแต่สมัย “รัฐบาลน้าชาติ” กระทั่งมีวลีว่า “ต่างชาติซื้อที่ดิน แต่เอาที่ดินไปไม่ได้ ที่ดินยังอยู่ประเทศไทย”

รัฐบาลต่อๆ มารวมทั้ง “รัฐบาลลุงตู่” ก็หยิบนโยบายนี้มาปัดฝุ่น โยนก้อนหินถามทางทดสอบกระแสสังคม แต่ก็ยังไม่มีรัฐบาลไหนทำสำเร็จ สังคมไทยยังยอมรับไม่ได้ ที่จะให้ต่างชาติเข้ามาถือครองที่ดิน ทั้งที่ทุกวันนี้ “ต่างชาติ” ใช้ “นอมินี” เข้ามาถือแทน เต็มไปหมด

ทุกรัฐบาลที่เสนอนโยบายนี้ มักจะอ้างว่าเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ กระตุ้นธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ อาจจะเป็นเพราะธุรกิจอสังหาฯ มีธุรกิจเกี่ยวเนื่องมากมาย ตั้งแต่ธุรกิจถมดิน เสาเข็ม สถาปนิก บริษัทรับเหมาสก่อสร้าง อุปกรณ์และวัสดุก่อสร้าง เป็นต้น มีคนที่อยู่ในห่วงโซ่ธุรกิจหลายล้านคน

จริงๆ แล้วอสังหาฯก็เป็นแค่ส่วนเสี้ยวของระบบเศรษฐกิจไทยจึงมีคำถามว่านโยบายนี้จะกระตุ้นเศรษฐกิจได้จริงหรือ ขณะที่ภาคอุตสาหกรรมการผลิต หรือ “เรียลเซ็คเตอร์” มีความสำคัญกว่า กลับไม่เคยมีรัฐบาลไหนให้ความสำคัญ

ยิ่ง “รัฐบาลเศรษฐา” ให้ความสำคัญกับธุรกิจอสังหาฯเป็นพิเศษ มีคนตั้งคำถามว่า อาจเป็นเพราะ “นายกฯเศรษฐา ทวีสิน” และเครือข่ายผู้มีอำนาจในรัฐบาล มีธุรกิจอสังหาฯใช่หรือไม่ ข้อสงสัยนี้มีตั้งแต่รัฐบาล กดดันแบงก์ชาติให้ “ลดดอกเบี้ยนโยบาย” อ้างเพื่อช่วยธุรกิจเดินหน้าได้

แต่มีเสียงวิจารย์ตามมาว่า กลุ่มธุรกิจที่ได้ประโยชน์จากการลดดอกเบี้ยมากที่สุดคือ กลุ่มอสังหาฯ เพราะทุกวันนี้คนอยากมีบ้าน แต่ไม่สามารถซื้อบ้านได้ เพราะดอกเบี้ยสูงทำให้บ้านและที่อยู่อาศัยขายไม่ออก เหลือล้นสต็อก ส่วนเจ้าของโครงการก็แบกดอกเบี้ยเงินกู้แพงๆ หากลดดอกเบี้ยได้ เท่ากับยิงนัดเดียวได้นกสองตัว

แต่ความพยายามดังกล่าวไม่เป็นผล เพราะ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ไม่ตอบสนอง ยังคงดอกเบี้ยไว้อัตราเดิม 2.5% ทำให้รัฐบาลหันมาอุ้มธุรกิจนี้ด้วยมติครม. เคาะมาตรการกระตุ้นอสังหาฯชุดใหญ่ ลดค่าธรรมเนียมโอน-จดจำนองเหลือ 0.01% พร้อมให้สิทธิบุคคลธรรมดานำค่าก่อสร้างบ้านลดหย่อนภาษีไม่เกิน 1 แสนบาทแต่ก็คงเป็นแค่น้ำจิ้มเท่านั้น

แต่ที่ร้อนฉ่าอีกครั้ง เมื่อรัฐบาลออกมาตรการกระตุ้นอสังหาฯ เพื่อผลักดันนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ ดังนี้

1.ให้ต่างชาติเช่าที่ดินระยะยาว 99 ปี เรื่องนี้ “นายกฯเศรษฐา” บอกว่า ไม่ได้เป็นการซื้อขายขาดทุกประเทศก็มีให้เช่า

2.การถือครองคอนโดฯของชาวต่างชาติ ในการออกเสียงจาก 49% เป็น 75% “นายกฯเศรษฐา” บอกว่า คนที่มีสิทธิโหวตให้นิติบุคคลทำอะไรต่างๆ ได้ก็อยู่แค่ 49% แสดงว่าคนไทยก็ยังเป็นใหญ่ เพราะยังถืออยู่ 51% แต่การขึ้นจาก 49% ไปเป็น 75% โดยในส่วนของ 26% ตรงนี้ที่เกินมาจะไม่มีสิทธิในการออกเสียงโหวตอะไร ได้แต่เข้าไปอยู่อาศัยได้เท่านั้น

ขณะที่ในฟากผู้เชี่ยวชาญด้านอสังหาฯอย่าง “ดร.โสภณ พรโชคชัย” กลับมองว่า แนวคิดดังกล่าวไม่ได้เป็นการกระตุ้นอสังหาฯ หรือเศรษฐกิจแต่อย่างใด เนื่องจากบ้านเราทุกวันนี้ มีที่อยู่อาศัยจากนักพัฒนาทั่วประเทศ 4.4 แสนยูนิต เป็นห้องชุดที่ต่างชาติสนใจแค่ 1.3 หมื่นยูนิตเท่านั้น และไทยไม่มีนโยบายเก็บภาษีจากต่างชาติที่เข้ามาซื้อที่อยู่อาศัยสักบาทเดียว แล้วจะมีเงินไปพัฒนาประเทศและไปกระตุ้นเศรษฐกิจได้อย่างไร

พร้อมเสนอแนะว่า หากจะทำควรเป็นการเก็บภาษีซื้อขายคอนโดฯจากต่างชาติมากกว่า จึงจะทำให้ภาครัฐได้เม็ดเงินมากระตุ้นเศรษฐกิจ อย่างเช่นในหลายประเทศ สิงคโปร์ ฮ่องกง หรือในยุโรปที่มีการเก็บภาษี ตั้งแต่ 10-60% ของราคาซื้อ เช่นเดียวกันที่คนไทยไปซื้อบ้านในต่างประเทศก็ต้องโดนเก็บภาษี เช่น การเก็บภาษีซื้อ 10% ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง คิด 1% ตามราคาตลาด ภาษีกำไรจากการขายต่อประมาณ 20% ของราคาตลาด และภาษีมรดกประมาณ 10% ของกองมรดก

อีกทั้งรัฐบาลควรกำหนดมาตรการเพิ่มเติม อาทิ กำหนดราคาขั้นต่ำที่จะให้ต่างชาติซื้อ เช่น กำหนดไว้ในราคาตั้งแต่ 10 ล้านบาทขึ้นไป โดยในมาเลเซียกำหนดไว้ประมาณ 16 ล้านบาท อินโดนีเซียประมาณ 10 ล้านบาท เพื่อจะได้ไม่มาแย่งคนไทยโดยเฉพาะประชาชนผู้มีรายได้น้อยและรายได้ปานกลางซื้อ

ความเห็น “ดร.โสภณ” ที่สะท้อนออกมา นับว่าน่าสนใจ ไม่รู้ว่ารัฐบาลจะฟังหรือไม่!!!

หากรัฐบาลผลักดันนโยบายนี้สำเร็จ จะทำให้คนไทยที่อยากมีบ้านหรือที่อยู่อาศัยยากลำบากขึ้น เพราะต่างชาติมาแย่งซื้อ จะฉุดให้ราคาแพงตามไปด้วย ตัวอย่างมีให้เห็นในหลายๆ ประเทศเช่น แคนาดา อังกฤษ ฮ่องกง ออสเตรเลีย เป็นต้น

สิ่งที่รัฐบาลต้องควรต้องทำอันดับแรกคือ จะทำอย่างไรให้คนไทยที่ไม่มีบ้าน ไม่มีที่ดินทำกิน มีโอกาสได้มี จากข้อมูลของ “อาจารย์ดวงมณี เลาภวกุล” เมื่อปี 2556 บอกว่า คนไทย 75% ไม่มีที่ดินทำกิน คนไทย 20% เป็นผู้ถือครองที่ดิน 20% แต่เศรษฐีแค่ 5% ถือครองที่ดินมากถึง 80% แม้จะเป็นข้อมูลเมื่อกว่า 10 ปีที่แล้ว แต่จนถึงวันนี้ สถานการณ์อาจจะเลวร้ายมากกว่าเดิม

เพราะทุกวันนี้ “จีนขาว” มายึดกรุงเทพฯแย่งอาชีพคนไทย “จีนเทา” มาสร้างปัญหามากมาย นึกภาพไม่ออกว่า ประเทศไทยในวันที่ต่างชาติเข้ามาได้ง่ายๆ จะเป็นอย่างไร

……………………………..

คอลัมน์ : เศรษฐศาสตร์ข้างทาง

โดย “ทวี มีเงิน”

สนับสนุนคอลัมน์ โดย :   บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน)

- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_imgspot_img

Featured

- Advertisment -spot_img
Advertismentspot_imgspot_img
spot_imgspot_img