วันพุธ, กันยายน 18, 2024
spot_img
หน้าแรกCOLUMNISTS“ตลาดหุ้นฟื้น”ไปต่อ...หรือพอแค่นี้
- Advertisment -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

“ตลาดหุ้นฟื้น”ไปต่อ…หรือพอแค่นี้

ตลาดหุ้นไทย ในห้วงสัปดาห์ที่ผ่านมา เหมือนได้ยาดี มาโด๊ป รู้สึกมีชีวิตชีวาเป็นพิเศษ ทั้งที่เมื่อวันที่ 7 ส.ค.67 ดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ตกลงมาต่ำสุดที่ 1,291 จุด ตกลงจากต้นปีถึงเกือบ 9%

จนว่ากันว่า ตลาดหุ้นไทยในห้วงที่ผ่านมา เป็นตลาดหุ้นที่ย่ำแย่ที่สุดในโลกเลยทีเดียว อันเป็นผลกระทบจาก การเมืองที่วุ่นวาย เศรษฐกิจซบเซา กำลังซื้อผู้บริโภคตกต่ำอย่างหนัก

แต่ทันทีที่มีรัฐบาลใหม่ นำโดย “แพทองธาร ชินวัตร” พร้อมประกาศรายชื่อคณะรัฐบาลชุดใหม่ ช่วยกระตุ้นให้นักลงทุนแห่เข้ามาไล่ซื้อหุ้นในตลาดกันฝุ่นตลบ ส่งผลให้ ดัชนีตลาดเริ่มฟื้นตัวขึ้นเรื่อยๆ ไล่มาตั้งแต่วันที่ 4 ก.ย.67 ดัชนีอยู่ที่ 1,365 จุด รุ่งขึ้นวันที่ 5 ก.ย.67 ดัชนีปรับตัวขึ้นไปถึง 39 จุด และวันที่ 6 ก.ย.67 เป็นวันสุดสัปดาห์ดัชนีปรับตัวขึ้นต่อเนื่องอีก 23 จุด เป็น 1,428 จุด

ถือเป็นครั้งแรกที่มูลค่าซื้อขายหุ้นไทย ปรับขึ้นมายืนเหนือ 1 แสนล้านบาทในรอบ 1 ปี 7 เดือน นับจากวันที่ 15 ก.พ.66 ซึ่งเคยสูงถึง กว่า 1,114,000 ล้านบาท

ตัวเร่งที่ทำให้ตลาดหุ้นกลับมาคึกคัก มีหลายปัจจัยด้วยกัน ปัจจัยแรก มีข่าว “กองทุนวายุภักดิ์” รอบใหม่ จะเริ่มขายหน่วยลงทุน ประมาณกลางเดือนก.ย.นี้ วงเงินไม่เกิน 1.5 แสนล้านบาท และมีโอกาสเข้ามาซื้อหุ้นขนาดใหญ่ที่ดี ๆ และราคาถูกในตลาดหลักทรัพย์ เป็นกองทุนที่รับประกันกับนักลงทุน ว่าจะได้ผลตอบแทนอย่างน้อย 3% ต่อปี ถ้าหุ้นให้ผลตอบแทนดีก็อาจจะได้ถึง 8% ต่อปี โดยจะเริ่มวันที่ 1 ต.ค.นี้

ปัจจัยต่อมา ข่าวดีจาก กองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน หรือ TESG ที่จะก่อตั้งในช่วงปลายปีนี้ คาดว่าจะมีเงินเข้ามาในตลาดหุ้นอีก 2-3 หมื่นล้านบาท นอกจากนี้นักลงทุนยังมีความคาดหวังว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ FED จะลดดอกเบี้ยในเดือนนี้ จะส่งผลให้ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะลดดอกเบี้ยตาม ในปลายปีนี้เช่นกัน รวมทั้ง มาตรการแจกเงินกลุ่มเปราะบาง โดยแจกเป็นเงินสดรอบแรกราว 1.4-1.5 แสนล้านบาท จะทำให้มีเม็ดเงินถูกฉีดเข้าสู่ระบบอย่างต่อเนื่อง ช่วยให้ภาคการบริโภคเติบโตขึ้น ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้ระดับหนึ่ง

แต่ปัจจัยที่มีความสำคัญ เพราะนักลงทุนต่างคาดหวังอย่างมาก นั่นคือ ความหวังจะมีเม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศไหลกลับเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทย หลังจากไหลออกไปเมื่อครั้งที่สถานการณ์การเมืองในประเทศเกิดความวุ่นวาย อย่างไรก็ตามก่อนหน้าที่ “เศรษฐา ทวีสิน” จะถูกถอดถอนจากตำแหน่งนายกฯ สถานการณ์เริ่มกระเตื้อง ต่างชาติเริ่มทยอยกลับเข้ามาซื้อหุ้นบ้าง แต่อาจจะยังไม่มากนัก

แต่เมื่อการเมืองเริ่มนิ่ง ประกอบกับการจัดตั้งรัฐบาลเป็นไปอย่างรวดเร็ว ไม่ปล่อยให้เกิดสุญญากาศทางการเมือง เป็นสัญญาณว่า รัฐบาลใหม่พร้อมทำงานได้ทันที เสถียรภาพการเมืองส่งสัญญาณมั่นคง ยิ่งสร้างความเชื่อมั่นสร้างแรงจูงใจให้นักลงทุนต่างชาติหันมาให้ความสนใจตลาดหุ้นไทยมากขึ้น

ต้องบอกว่า “รัฐบาลแพทองธาร” โชคดีจริงๆ เข้ามาในจังหวะหลายๆ อย่างเป็นใจอย่างพอเหมาะพอเจาะ

สะท้อนจากปฏิกิริยาตอบรับในด้านบวกจากตลาดหุ้น ดัชนีพุ่งกระฉูด และคาดกันว่า หุ้นรอบนี้น่าจะตีฝ่าทะลุระดับ 1,400 จุดขึ้นไปได้ แต่จะพุ่งกระฉูดไปไกลแค่ไหน ต้องรอประเมินผลงานอย่างเป็นรูปธรรมอีกครั้ง

ขณะที่บรรดากูรูหุ้น ส่วนใหญ่ประเมินทิศทางหุ้นในช่วงปลายปี ด้วยภาพที่สวยหรูอลังการ เริ่มขยับปรับเป้าหมายดัชนีปลายปีสู่ระดับ 1,500 จุดขึ้นไป เพราะเชื่อว่ามีปัจจัยกระตุ้นอยู่หลายปัจจัย

น่าเสียดาย ในห้วงเวลาที่ “เศรษฐา ทวีสิน” นั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรี กลับไม่ได้สร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุนไทยและนักลงทุนต่างชาติ ทั้งที่ภาพลักษณ์เป็นนักธุรกิจ มีบริษัทอสังหาริมทรัพย์อยู่ในตลาดฯ น่าจะเข้าใจอารมณ์ของนักลงทุน

อย่างไรก็ตาม จังหวะที่ “รัฐบาลแพทองธาร” เข้ามา อาจเป็นช่วงที่ก่อนหน้านี้ ราคาหุ้นตลาดหุ้นไทยตกต่ำอยู่ที่จุดต่ำสุดๆ นักลงทุนต่างชาติมองเห็นโอกาส จึงมาช้อนซื้อเก็งกำไร เป็นแรงผลักให้ดัชนีตลาดหุ้นพุ่งกระฉูด หรือด้านหนึ่งนักลงทุนเชื่อมั่น เพราะว่า “นายกฯแพทองธาร” มี “พ่อ-ทักษิณ ชินวัตร” เป็นอดีตนายกฯ ซึ่งได้รับการยอมรับว่า ประสบความสำเร็จในการกอบกู้วิกฤติเศรษฐกิจปี 40 รอบนี้จึงต้องมาช่วย “ลูกสาวคนเล็ก” ทำงานอยู่ “เบื้องหลัง”

จนหลายคนบอกว่า นี่คือ “นายกฯตัวจริง” เนื่องจากที่ผ่านมา “ทักษิณ” ได้แสดงความคิดเห็นต่อสาธารณชนมาเป็นระยะๆ รวมถึงการแสดงออกต่างๆ ทำให้นักธุรกิจและนักลงทุนในตลาดหุ้น “เกิดความเชื่อมั่น” รัฐบาลนี้จะมั่นคงทุกอย่างกำลังไปได้ดี ประเทศไทยจะเริ่มก้าวเดินไปข้างหน้า เศรษฐกิจไทยจะต้องดีขึ้นและตลาดหุ้นจะต้องดีขึ้น

นี่คือ ปัจจัยที่อยู่เบื้องหลังดัชนีตลาดหุ้นไทยพุ่งกระฉูดสัปดาห์ที่ผ่านมา แต่จะไปต่อไปได้ไกลแค่ไหน หรือแค่ไฟไหม้ฟางชั่ววูบ ก็อยู่ที่ “รัฐบาลแพทองธาร” ว่าจะสร้างความเชื่อมั่นต่อนักลงทุนมากน้อยแค่ไหน

……………………………

คอลัมน์ : เศรษฐศาสตร์ข้างทาง

โดย…. “ทวี มีเงิน”

สนับสนุนคอลัมน์ โดย :   บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน)

- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_imgspot_img

Featured

- Advertisment -spot_img
Advertismentspot_imgspot_img
spot_imgspot_img