หลังจากที่อดีตประธานาธิบดี “โดนัลด์ ทรัมป์” จากพรรครีพับริกัน “ทวงคืนทำเนียบขาว” จากพรรคเดโมแครต สำเร็จ ด้วยชัยชนะการเลือกตั้งเหนือคู่แข่งอย่าง “คามาลา แฮรีส” ถล่มทลายและเตรียมกลับมาเป็น ประธานาธิบดีสหรัฐฯ สมัยที่ 2 อีกครั้ง
ใครๆ ก็รู้ว่า “พิษสง” ของ “โดนัลด์ ทรัมป์” นั้นคือ “การเดาใจลำบาก” ไม่รู้จะมาไม้ไหน ดังนั้นทันทีรู้ผลอย่างเป็นทางการ ประเทศต่างๆ ทั่วโลกก็เกิดความวิตกกังวลว่า “สงครามการค้าระหว่างสหรัฐกับจีน” จะเข้มข้นกว่าเดิมแน่ๆ อาจส่งผลสะเทือนทางเศรษฐกิจไปในหลายๆ ประเทศ
ไม่เว้นแม้แต่ไทย ที่อาจจะโดนลูกหลงไปด้วยและจะต้องเตรียมรับมืออย่างไร
ยิ่งมีข่าวออกมาว่า “โดนัลด์ ทรัมป์” กำลังทาบทาม “โรเบิร์ต ไลท์ไฮเซอร์” ซึ่งเคยดำรงตำแหน่ง ผู้แทนการค้าสหรัฐ ตอนที่ “ทรัมป์” เริ่มทำสงครามการค้ากับจีนในสมัยที่เป็นประธานธิบดีครั้งแรก ให้กลับมารับตำแหน่งนี้อีกครั้ง ดังนั้นเชื่อได้ว่า สงครามการค้าระหว่างสหรัฐกับจีนน่าจะดุเดือดแน่ๆ
“โดนัลด์ ทรัมป์” ดำรงตำแหน่งผู้นำสหรัฐฯสมัยแรก ในช่วงปี 2017-2021ด้วยนโยบาย “Make America Great Again” ทำให้อเมริกากลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง” และปีนี้ 2024 ได้เป็นประธานาธิบดีสมัย 2 ด้วยนโยบายคล้ายเดิม นั่นคือ “Make America Great Once Again” มีความหมายทำให้อเมริกากลับมายิ่งใหญ่อีกครั้งหนึ่งเช่นเดียวกัน
นโยบาย “Make America Great Again” กลายเป็นอาวุธสำคัญของสหรัฐในการก่อสงครามการค้ากับจีนและสนับสนุนให้บริษัทสัญชาติอเมริกันกลับมาผลิตสินค้าในประเทศ และกีดกันการค้าจากต่างประเทศโดยเฉพาะสินค้าจากจีน ด้วยการขึ้นภาษีสินค้านำเข้า เป็นการทำลายห่วงโซ่อุปทานด้านเทคโนโลยี ก่อสงครามการค้า สงครามเย็นทางเทคโนโลยี โลกต้องแตกแยก ทั้งการเมือง การค้า สังคม และเทคโนโลยี
การกลับมาอีกครั้ง ด้วยนโยบาย “Make America Great Once Again” นั่นเท่ากับ “หนังม้วนเดิมนำมาฉายใหม่” แต่จะมีความรุนแรงยิ่งกว่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งนโยบายการค้าระหว่างประเทศ และการลงทุน ที่จะมีผลกระทบต่อการส่งออกของไทยและทุกประเทศทั่วโลกอย่างแน่นอน
“โดนัลด์ ทรัมป์” ยังคงเน้นการผลิตในประเทศมากขึ้นไม่ให้ความสำคัญกับการค้าเสรี โดยใช้มาตรการภาษีจูงใจสำหรับบริษัทอเมริกัน กลับไปลงทุนในสหรัฐฯ รวมถึงนักลงทุนอื่นๆ เพื่อแก้ปัญหาการว่างงาน
ด้านนโยบายภาษี จะมีผลทันทีที่ “โดนัลด์ ทรัมป์” เข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการ จะมีการปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากทุกประเทศในอัตรา 10–20% จากอัตราเฉลี่ย 3% ในปัจจุบัน จะเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจีนในอัตรา 60% จากอัตราเฉลี่ย 20% ในปัจจุบัน
สำหรับ ผลกระทบกับประเทศไทย นั้น “สนั่น อังอุบลกุล” ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ให้ความเห็นว่า “โดนัลด์ ทรัมป์ จะเน้นนโยบายอเมริกาเฟิร์ส หรือ “อเมริกาต้องมาก่อน” เป็นอันดับแรก การจัดเก็บภาษีไทยไม่น่าเสียเปรียบมาก จีนน่าจะเสียเปรียบมากกว่า แต่ไทยควรมีแนวทางทำให้สหรัฐฯไม่มีความรู้สึกถึงการย้ายฐานการผลิตจากจีนมาที่ไทย เพราะอาจถูกเพ่งเล็งเรื่องภาษีเช่นเดียวกับจีนได้ ซึ่งอาจได้รับผลกระทบทำให้ไม่สามารถส่งสินค้าบางอย่างไปสหรัฐฯได้”
อย่างไรก็ตาม รัฐบาลและนักธุรกิจไทย “อย่านิ่งดูดาย” คงต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด อย่าลืมว่า สหรัฐฯเป็นตลาดสินค้าส่งออกสำคัญของไทย จะเตรียมรับมือและจะมีวิธีเจรจาต่อรองอย่างไร เมื่อสินค้าไทยจะต้องโดนเก็บภาษีนำเข้า 10-20% แม้จีนจะโดนภาษี 60% อย่าฝันหวานว่า ส่งออกไทยจะได้ประโยชน์ เนื่องจากสินค้าไทยส่วนใหญ่ไม่สามารถทดแทนสินค้าจีนในสหรัฐได้
ตรงกันข้าม ไทยอาจจะได้รับผลกระทบจากกรณีจีนผลิตสินค้า แล้วส่งออกไปยังสหรัฐฯไม่ได้ จะไหลทะลักย้อนกลับมาบุกตลาดไทย
ล่าสุดมีรายงานว่า บริษัทต่างชาติในจีนกว่า 400 บริษัท ย้ายฐานการผลิตออกจากจีนมาอาเซียน โดยเฉพาะไทย คงต้องดูว่าเขามาใช้ไทยเป็นฐานผลิตส่งออกเพื่อใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีของไทยหรือไม่
หากเป็นเช่นนั้น อาจทำให้สหรัฐฯหันมาใช้มาตรการรุนแรงกับสินค้าส่งออกจากไทย เช่นเดียวกับที่ใช้กับจีนได้ เมื่อ “โดนัลด์ ทรัมป์” คัมแบ็ค รอบนี้ไทยจะต้องกลับมาทบทวนนโยบายใหม่ ทั้งด้านเศรษฐกิจ การเมืองและความมั่นคง ต้องทำให้เห็นว่า ประเทศไทยยังเป็นมิตรที่ดีกับสหรัฐฯ ตราบใดที่ไทยยังพึ่งพาจีนแต่ฝ่ายเดียว สหรัฐฯก็จะไม่มีความไว้เนื้อเชื่อใจ
ยิ่งหลังๆ ไทยถูกมองว่า มีแนวโน้มเอียงข้างไปทางจีน ไปพึ่งพาเศรษฐกิจจีนและทุนมากจนเกินไป และปล่อยให้จีนเข้ามาครอบงำทางเศรษฐกิจทั้งบนดิน-ใต้ดิน มีทั้ง “กลุ่มทุนจีนขาว” เข้ามาทำธุรกิจแข่งขันกับธุรกิจคนไทยมาทุ่มตลาด ขายตัดราคา จนธุรกิจคนไทยเจ๊งระเนระนาด “กลุ่มจีนเทา” ก็เข้ามาหลอกลวงคนไทย แก๊งคอลเซ็นเตอร์ เว็บพนัน สร้างความเสียหายเศรษฐกิจของไทยมหาศาล
ตรงนี้อาจทำให้สหรัฐฯเกิดความกังวลได้ สะท้อนจากเมื่อคราว “โจ ไบเดน” เยือนอาเซียนก็บินข้ามหัวไทย ไม่เห็นอยู่ในสายตา ฉะนั้นไทยจะต้องกำหนดยุทธศาสตร์ เพื่อรับมือเรื่องนี้อย่างจริงจังและต้องชัดเจนว่า เราจะรักษาสมดุลทั้งสหรัฐฯกับจีนอย่างไร
ที่สำคัญ…เราต้องต้องเล่นเกมเป็น เข้าได้กับทุกกลุ่ม ไม่เลือกข้างไม่ว่าจีนหรือสหรัฐฯ OECD หรือ BRICs ส่วนจะทำอย่างไร ลองเรียนรู้ความสำเร็จจากสิงคโปร์และเวียดนาม บ้างก็ดี
…………………………
คอลัมน์ : เศรษฐศาสตร์ข้างทาง
โดย “ทวี มีเงิน”
สนับสนุนคอลัมน์ โดย : บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน)