ปรากฏการณ์ทางเศรษฐกิจในรอบปี 2567 ที่กำลังจะผ่านพ้นไป มีเรื่องราวมากมาย “สินค้าจีน-ทุนจีน” ไล่ทุบ “ธุรกิจไทย”, ต่างชาติกระหน่ำเทขายหุ้นไปลงทุนที่อื่น ที่ให้ผลประโยชน์สูงกว่า, นักลงทุนต่างชาติทยอยย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศเพื่อนบ้าน, บรรดาโรงงานอุตสาหกรรมของไทยที่เป็นซัพพลายเชนต้องปิดกิจการ คนตกงานจำนวนมาก
นักลงทุนโดยตรง (FDI) ที่เข้ามาลงทุน “เรียลเซ็กเตอร์” หากย้ายฐานการผลิต โอกาสที่ย้ายกลับมายาก ประเทศไทยเวลานี้ น่าห่วงมากๆ โดยเฉพาะเรื่อง “เศรษฐกิจ” เราไม่มีจุดแข็งอะไรเหลือเลย
“ส่งออก” ที่เคยเป็นรายได้หลักในยุคที่รุ่งโรจน์ เคยมีสัดส่วนเกือบ 70% ของจีดีพี.หลายปีมานี้ “ส่งออกไทย” ไม่เหมือนเดิม สินค้าอุตสาหกรรมของไทยแข่งในตลาดโลกไม่ได้ ตลาดไม่ต้องการ เหลือเพียง “ท่องเที่ยว” ที่ยังพอพึ่งเนื้อนาบุญได้ แต่ก็ยังไม่กลับมาเหมือนเดิมในช่วงก่อนโควิด
“ธุรกิจขนาดกลาง-ขนาดย่อม” อาการหนักจากพิษเศรษฐกิจตกต่ำ มิหนำซ้ำยังโดนสินค้าจากจีนที่กำลังการผลิตล้นเกินทะลักเข้ามา ทุ่มตลาดเมืองไทยผ่านแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ ทุบราคาขายต่ำกว่าต้นทุน ธุรกิจจีนพากันเข้ามาบุกตลาดเมืองไทย โดยเฉพาะ ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม ที่เข้ามายึดทำเล ทั้งในห้างสรรพสินค้า ตามถนนหนทาง รวมถึงตรอกซอกซอยต่างๆ ในกรุงเทพฯ ขายถูกๆ ตัดราคาร้านค้าคนไทย ร้านค้าคนจีนที่เข้ามา ไม่ได้ใช้วัตถุดิบของไทยนำเข้าจากจีน เงินที่ได้จึงไหลกลับจีนทั้งหมด
แต่ถูกพูดถึงมากที่สุดปีนี้ น่าจะโฟกัสไปที่ “ตลาดหุ้นไทย” มีภาวะซึมยาวต่อเนื่องมาตั้งแต่ปีที่แล้ว ดัชนีไต่เส้นแถวๆ 1,400 จุด สถานการณ์ตลาดหุ้นช่วงโค้งสุดท้ายปี 2567 กลับสู่ความเลวร้าย ดัชนีดิ่งลงอีกครั้ง ดับความหวังนักลงทุนที่จะได้เห็นระดับ 1,500 จุดในปีนี้อย่างสิ้นเชิง
ในช่วง 2-3 ปีนี้ ตลาดหุ้นไทยมีแต่ข่าวลบมากดดัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง ผิดนัดชำระหุ้นกู้ ปั่นหุ้น มีการทุจริตในบริษัท ไม่มีข่าวดีมากระตุ้น นักลงทุนต่างชาติเทขายหุ้นไทยอย่างต่อเนื่อง ที่สำคัญ…ยังไม่มีสัญญาณกลับมาซื้อใหม่ ตลาดหุ้นไทยปีหน้า น่าจะเจอวิบากกรรมหนักแน่ๆ
ปรากฏการณ์เศรษฐกิจไทยในรอบปีที่ผ่านมา สะท้อนได้อย่างดีเห็นภาพชัดเจน จากผู้ใช้นามในเฟซบุ๊ก Siratthaya Isarabhakdi ขออนุญาตินำมาแชร์ไว้ ณ ที่นี้
“เรื่องเล่า (จริงๆ) ที่ได้เจอ-ได้ยินกับตัวเองในรอบปี
และถี่ขึ้นใน 1-2 เดือนที่ผ่านมา…
-ธุรกิจขนาดเล็ก-กลาง โดนคู่ค้า (ทั้งเล็ก-กลาง-ใหญ่) เลื่อนจ่ายเงิน บ้างหลายเดือน บ้างหลายปี จนบางธุรกิจขาดสภาพคล่อง บางธุรกิจเริ่มไปต่อไม่ได้
-องค์กรใหญ่ระดับประเทศบางแห่ง (หลายอุตสาหกรรม) ลงทุนมหาศาล กับโครงการที่คิดว่าน่าจะเป็นอนาคต (ทั้งใน-ต่างประเทศ) แต่ผลลัพธ์กลับไม่เป็นตามคาด ล่าสุดเริ่มกระทบผลการดำเนินงาน-การจ้างงาน
-คนทำสื่อ-ละคร เบื้องหน้า-เบื้องหลัง ออนไลน์-ทีวี งานหด เงินหาย แบบไม่เคยเป็นมาก่อนในรอบหลายสิบปี บ้างโดนลดเงิน บ้างงานน้อยลง บ้างไม่มีงาน บ้างโดนให้ออก (มากกว่าที่เห็นเป็นข่าว)
-ฟ้าฝนในหลายพื้นที่ไม่ตกตามฤดูกาล บางที่ไม่เคยน้ำท่วมก็ท่วม ฝนไม่เคยตกหน้าหนาวก็ตก ไม่นับช่วงหน้าร้อนที่อุณหภูมิสูงแบบไม่เคยเป็นมาก่อน พืชผลเกษตรที่คาดการณ์ยากอยู่แล้วยิ่งเสียหายหนัก
-ผู้ปกครองโรงเรียนนานาชาติ (ที่ส่วนใหญ่ทำธุรกิจส่วนตัว) บางคนเริ่มให้ลูกลาออกจากโรงเรียน เพราะธุรกิจมีปัญหา จ่ายค่าเทอมไม่ไหว
-ร้านอาหารระดับบนบางแห่ง ที่ปกติต้องจองล่วงหน้า-คิวเต็มช่วงปีใหม่ คุยกันว่าปีนี้ไม่เหมือนเดิม จนถึงวันนี้ลูกค้าน้อยมาก แทบยังไม่มีใครจองเข้ามาแม้จะใกล้ช่วงเทศกาลแล้ว
-บางแบรนด์หรูที่ไม่เคยเข้าร่วม Campaign ลดราคาพิเศษ แต่ปีนี้ยอดขายไม่เป็นตามคาด จึงตัดสินใจเข้าร่วมโปรโมชั่นเป็นครั้งแรก
สรุปจะล่าง-กลาง-บน ทุกคนบอกตรงกันว่า ‘เหนื่อย’
บ้างบอกว่าแย่กว่า COVID-19
บ้างบอกว่าเหนื่อยกว่าปี 2540 (ตอนนั้นเจ็บแต่จบ)
เศรษฐกิจ-ธุรกิจไทยรอบนี้ ค่อยๆ ซึม ค่อยๆ แย่ลงๆ
เจ็บน้อย แต่เจ็บนาน และไม่รู้จะจบเมื่อไหร่
เหมือนกำลังเป็น ‘กบที่ถูกต้ม’…”
จับตาในปี 2568 ยังต้องเผชิญกับ “วิกฤติหนี้” ที่ปัจจัยลบมาตั้งแต่ปีก่อนๆ โดยเฉพาะ “หนี้ครัวเรือน” ยังเป็นระเบิดเวลาลูกใหญ่ ยิ่งตอนนี้ลามถึง “หนี้ธุรกิจขนาดกลางค่อนข้างใหญ่” เริ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ น่าห่วงหนี้ธุรกิจกลุ่มนี้ เริ่มเป็น “หนี้นอกระบบ” ตรงนี้อันตราย
ปีหน้า “สังคมสูงวัย” จะเป็นโจทย์ที่ท้าทายอย่างยิ่ง เนื่องจากเศรษฐกิจไทยจะต้องขับเคลื่อนให้เติบโตด้วยกำลังแรงงานที่ลดลง ในขณะเดียวกันก็ต้องพยายามดูแล “ผู้สูงอายุ” ให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีด้วย
แต่ที่ต้องเฝ้าติดตามอย่างใกล้ชิด เพราะเป็นปัจจัยลบใหม่ต่อเศรษฐกิจไทยปีหน่า คือการกลับมาของ “ประธานาธิบดีทรัมป์” ที่ประกาศนโยบายกีดกันทางการค้า โดยจะขึ้นภาษีสินค้านำเข้า ซึ่งอาจกระทบต่อการเติบโตของภาคส่งออกของไทย ในฐานะผู้เล่นสำคัญของห่วงโซ่อุปทานโลก และการส่งออกไทยเป็นเครื่องยนต์หลักที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย
ขณะเดียวกันต้องไม่มองข้ามเรื่อง Climate Change ภาวะโลกร้อน เริ่มมีกระแสแรงขึ้นเรื่อยๆ ในปีนี้และในปีหน้า คาดว่าจะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ตอนนี้ในยุโรปได้ออก กฏหมาย C-Bam ซึ่งจะส่งผลให้ต้นทุนภาคธุรกิจของไทยเพิ่มสูงขึ้นแน่ๆ
เศรษฐกิจไทยที่ผ่านมา “ปัญหาเก่า” เรื้อรังยังไม่ได้แก้ “ปัญหาใหม่” ทับถม จนหลายคนมองว่า “วิกฤติเศรษฐกิจปีหน้า” อาจจะหนักกว่า “วิกฤติต้มยำกุ้งปี 40” เตรียมรับมือให้ดี
………………………
คอลัมน์ : เศรษฐกิจข้างทาง
โดย “ทวี มีเงิน”