วันพฤหัสบดี, มกราคม 30, 2025
หน้าแรกCOLUMNISTSสารพัดหลักสูตร“คอนเนคชั่น” เชื้อร้ายใน “สังคมอุปถัมภ์-สังคมต่างตอบแทน”???
- Advertisment -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

สารพัดหลักสูตร“คอนเนคชั่น” เชื้อร้ายใน “สังคมอุปถัมภ์-สังคมต่างตอบแทน”???

ตอนแรกตั้งใจจะเขียนเรื่องฝุ่นพิษ PM2.5 ที่กำลังเป็นเรื่องใหญ่ในบ้านเรา ชาวบ้านกำลังเดือดร้อนอย่างหนัก แต่มีเรื่องที่สำคัญไม่แพ้กัน และเป็นปัญหาเรื้อรังกัดกร่อนความรู้สึกคนไทยมานาน นั่นคือ กรณี “หลักสูตรคอนเนคชั่น” ของ หน่วยงานราชการและองค์กรอิสระต่างๆ

สืบเนื่องจาก “บุญเขตร์ พุ่มทิพย์” อธิบดีผู้พิพากษาศาลภาษีอากรกลาง ช่วยทำงานชั่วคราวในตำแหน่ง ผู้พิพากษาศาลฎีกา กรรมการบริหารศาลยุติธรรม และ “อนุรักษ์ สง่าอารีย์กูล” ผู้พิพากษาศาลฎีกาและกรรมการตุลาการ ได้ทำบันทึกข้อความถึง “ประธานศาลฏีกา” ในฐานะ ประธานกรรมการบริหารศาลยุติธรรม และ ประธานกรรมการตุลาการ

เพื่อขอให้ ยกเลิกหลักสูตรผู้บริหารกระบวนการยุติธรรมระดับสูง (บ.ย.ส.) และกำหนดไม่ให้ผู้พิพากษาเข้าร่วมอบรมหลักสูตรการป้องกันราชอาณาจักร (ว.ป.อ.) หลักสูตรการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิบไตยสำหรับนักบริหาระดับดับสูง (ป.ป.ร.) หลักสูตรผู้บริหารระดับสูงสถาบันวิทยาการตลาดทุน (วตท.) หรือหลักสูตรอื่นในลักษณะเดียวกัน

เนื่องจากเห็นว่า หลักสูตรอบรมต่างๆ ไม่ก่อเกิดประโยชน์ใดแก่การปฏิบัติงานของข้าราชการตุลาการศาลยุติธรรม ทั้งยังอาจนำไปสู่การ “ผิดศีล-ผิดวินัย” ของผู้พิพากษา ส่งเสริม “ระบบอุปถัมภ์” ซึ่งนำไปสู่การ “เลือกปฏิบัติ” และ “เพิ่มความเหลื่อมล้ำในสังคม”

นอกจากนี้ การใช้งบประมาณเพื่อจัดให้มี หลักสูตรผู้บริหารกระบวนการยุติธรรมระดับสูง (บ.ย.ส.) เป็นการใช้งบประมาณที่ไม่คุ้มค่าไม่เกิดประโยชน์ใดๆ แก่ประเทศชาติ ที่สำคัญที่สุด หลักสูตรนี้ทำให้ความเชื่อถือที่สาธารณชนมีต่อศาลยุติธรรมลดลง

คงไม่มีใครปฏิเสธว่า หลักสูตรอบรมระดับสูงของส่วนราชการต่างๆ นั้น ออกแบบขึ้นมาเพื่อ “สร้างเครือข่าย” หรือ “คอนเนคชั่น” ให้กับคนที่เข้าร่วมอบรม โดยผู้ดำเนินการหลักสูตร อ้างว่าการที่ “ข้าราชการ-นักการเมือง-ประชาชน” มาเรียนร่วมกันจะทำให้การติดต่อประสานงานเป็นไปด้วยความคล่องตัวเป็นประโยชน์กับทางราชการ

ยิ่งในช่วงเศรษฐกิจดีๆ เกือบทุกกระทรวงและองค์กรอิสระเกือบทุกองค์กร แข่งกัน “จัดหลักสูตรพิเศษ” ผุดขึ้นราวดอกเห็ด ดึงคนดังมีชื่อเสียง ข้าราชการ นักการเมืองระดับบิ๊กๆ ไปเรียน บางหลักสูตรจัดไม่กี่ครั้ง ไม่ได้รับความนิยมก็ต้องเลิกไป บางหลักสูตรยังมีอยู่ แต่ก็แผ่วลงเรื่อยๆ เพราะไม่สามารถดึงดูดข้าราชการระดับบิ๊ก นักการเมือง นักธุรกิจดังๆ เข้ามาเรียนเพื่อเป็นแม่เหล็กได้ ตอนนี้เหลือหลักสูตรที่เป็นที่สนใจจริงไม่น่าเกิน 5-6 หลักสูตร ที่ใครๆ ก็อยากจะเข้าเรียน

กล่าวสำหรับ หลักสูตรพิเศษหรือ “หลักสูตรคอนเนคชั่น” สะท้อนว่า สังคมไทยนิยมใช้ “ทางลัด” ในการทำงาน ไม่ทำตามขั้นตอนที่ถูกต้อง แต่นิยม “ใช้เส้นสาย-ใช้อภิสิทธิ์” จนกลายเป็น “สังคมอุปถัมภ์” เป็น “สังคมต่างตอบแทน” คนที่เข้าเรียนหลักสูตรดังกล่าว บางคนหน่วยงานส่งมา แต่ส่วนใหญ่ที่เข้ามาเรียน มีเป้าหมายในการสร้างสายสัมพันธ์กับคนที่เข้ามาเรียนด้วยกัน แถมยังได้ “โบนัส” ด้วยการไปเที่ยวต่างประเทศ กินอยู่ฟรีๆ จึงเป็นที่นิยมของข้าราชการที่ใกล้เกษียณหลายๆ คน

อย่างไรก็ตาม มีข้าราชการไม่น้อย เรียนมีวัตถุประสงค์เพื่อหาคอนเนคชั่นไว้ต่อยอดหลังเกษียณ อาศัยความสัมพันธ์ในฐานะเพื่อนร่วมรุ่น ไปเป็นกรรมการรัฐวิสาหกิจ กรรมการองค์กรอิสระ หรือกรรมการบริษัทเอกชน ในยุครัฐบาลที่มาจากการรัฐประหาร ทั้ง คมช.และ คสช. คนที่เข้ามาเป็นรัฐมนตรี สนช. เป็นที่ปรึกษา ส่วนใหญ่ล้วนเคยเรียนหลักสูตรเดียวกัน

จึงไม่ต้องแปลกใจที่ใครๆ ก็อยากมาเรียน นอกจากไม่เสียอะไร เพราะเรียนฟรี ยังมีแต่ได้กับได้  แต่ใครจะเข้าเรียนได้ ต้องมีเส้นสายผู้มีอำนาจฝากเข้าเรียน ต้องวิ่งเต้นล็อบบี้กันอย่างหนัก จึงจะมีโอกาส ถ้าไม่มีเส้น โอกาสก็ยาก เฉพาะอย่างยิ่งหลักสูตรยอดนิยม

เจ้าของธุรกิจบางคน ยอมปล่อยมือจากงานบริหาร ให้มืออาชีพหรือลูกหลานทำแทน เพื่อตัวเองจะมาเรียนหลักสูตรเหล่านี้ เวลาเรียนไม่ค่อยเรียนเท่าไหร่ แต่เน้นมาสังสรรค์ผูกสัมพันธ์ในงานเลี้ยงงานปาร์ตี้ หรือตีกอล์ฟ บางคนเรียนเป็นสิบๆ หลักสูตร ต้องวิ่งรอกงานเลี้ยงชนกัน คืนหนึ่งหลายๆ งาน

คงจำกันได้ในยุคที่ คสช.เข้ามาบริหารประเทศใหม่ๆ ก็มีเสียงเรียกร้องจากผู้คนในสังคม ให้คสช.ใช้อำนาจเด็ดขาดยกเลิกหลักสูตรเหล่านี้ ตอนนั้นดูเหมือน คสช.จะมีนโยบายไม่ให้หน่วยงานรัฐ ใช้งบประมาณแผ่นดินจัดหลักสูตรพิเศษ และบางหลักสูตรห้ามรับเอกชนเข้ามาเรียน แต่ทำท่าขึงขังพักเดียว ในที่สุด…ทุกอย่างเหมือนเดิม

เศรษฐา ทวีสิน

ในช่วงที่ “เศรษฐา ทวีสิน” เป็นนายกรัฐมนตรีก็เคยไปบรรยายหลักสูตรหนึ่งว่า “ที่นี่เป็นแหล่งพบปะสมาคม สานสัมพันธ์อันดีของทุกๆ ท่าน ความแข็งแกร่งของศิษย์เก่าเป็นที่ประจักษ์ สายสัมพันธ์-คอนเนคชั่นในประเทศ ทำให้พวกท่านเป็นบุคคลพิเศษ หรือเรียกว่า “อภิสิทธิ์ชน” ก็ว่าได้ เป็นท็อป 1% หรือน้อยกว่านั้นของประเทศนี้ และในสถาบันที่ทรงคุณค่าอย่างมากแห่งนี้ หลายคนอยากเข้ามา แต่ก็ไม่มีโอกาสได้รับการคัดเลือก”

“คอนเนคชั่นที่ท่านได้รับจากสถาบันนี้ จะให้ประโยชน์กับหน้าที่การงานของทุกท่าน ไม่ว่าจะเป็นนักวิชาการ ภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ ประชาสังคมหรือต่อยอดธุรกิจได้อย่างมหาศาล” เศรษฐา เคยกล่าวไว้

ขณะที่ “ดร.วิษณุ เครืองาม” ในฐานะรองนายกรัฐมนตรีของรัฐบาล คสช. เคยได้ให้สัมภาษณ์สื่อเมื่อต้นปี 2559 เกี่ยวกับปัญหาการทำหลักสูตรระดับสูงขององค์กรอิสระต่างๆ ว่า รัฐบาลส่งเสริมการทำหลักสูตรที่พัฒนาบุคลากรภายในหน่วยงาน

“แต่ที่รัฐบาลเป็นห่วงคือ 1.ไปเรียนแล้วเสียเวลา 2.เรียนแล้วเปิดรับคนภายนอกเข้ามาเรียน จนเกิดคอนเนคชั่นที่อาจจะนำไปสู่การประพฤติมิชอบได้ 3.เรียนแล้วมีการไปดูงานต่างประเทศแล้วคุ้มหรือไม่ 4.เรียนแล้วสังสรรค์จัดงาน ลงขันกัน มีการไปขอรับบริจาค ขอสปอนเซอร์มาจัดงานกันเป็นล้าน” ดร.วิษณุ กล่าวชัด

แต่จนบัดนี้ ทุกอย่างก็ยังเหมือนเดิม หลักสูตรเหล่านี้ก็ยังคงอยู่ ไม่รู้เมื่อไหร่สังคม Know Who หายไปแล้วมาร่วมสร้างสรร ให้เป็นสังคม Know How เสียที

…………….

คอลัมน์ : เศรษฐศาสตร์ข้างทาง

โดย… “ทวี มีเงิน”

สนับสนุนคอลัมน์ โดย :   บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน)

- Advertisment -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img
spot_imgspot_img
- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_imgspot_img

Featured

- Advertisment -spot_img
spot_img
spot_img
Advertismentspot_imgspot_img
spot_imgspot_img