วันเสาร์, เมษายน 26, 2025
หน้าแรกCOLUMNISTS‘ส่งออก-ท่องเที่ยว’เสี่ยงถูกหางเลขอุยกูร์
- Advertisment -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

‘ส่งออก-ท่องเที่ยว’เสี่ยงถูกหางเลขอุยกูร์

นับจากนี้น่าจับตา หลังจาก รัฐบาล “นายกฯแพทองธาร ชินวัตร” ได้สร้างความประหลาดใจช็อกไปทั้งโลก เมื่อได้ตัดสินใจ ส่งตัวชาวอุยกูร์ 40 คนกลับประเทศจีนอย่างมีเงื่อนงำ หลังจากที่เดินทางไปพบ “สี จิ้นผิง” ประธานาธิบดีสาธารณรัฐประชาชนจีน และในเวลาไล่เลี่ยกันทางการจีนส่ง “หลิว จงอี้” ผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงความมั่นคงและสาธารณะของจีน มา กวาดล้างขบวนการคอลเซ็นเตอร์ บริเวณชายแดนไทย-เมียนมา จนมีคนตั้งข้อสังเกตว่า เป็นดีลแลกเปลี่ยนกันหรือไม่

ตอนนี้ หลายคนกังวลเกรงว่า ประวัติศาสตร์จะกลับมาซ้ำรอยเหตุการณ์ก่อวินาศกรรมเมื่อปี 2015 ที่สี่แยกราชประสงค์ คราวนั้นมีผู้เสียชีวิต 20 คนและบาดเจ็บอีก 125 คน สัญญาณดังกล่าวสะท้อนจาก “สถานเอกอัครราชทูตสหรัฐประจำประเทศไทย” แถลงการณ์ผ่านเฟซบุ๊ก เตือนพลเมืองอเมริกันระวังเหตุก่อการร้ายในไทย แนะหลีกเลี่ยงย่านคนพลุกพล่าน ขณะเดียวกัน “สถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่น” ก็ได้ประกาศ เตือนพลเมืองญี่ปุ่นในไทย ให้หลีกเลี่ยงย่านคนพลุกพล่านเช่นกัน เนื่องจากกังวลความปลอดภัยหลังไทยส่งชาวอุยกูร์กลับจีน

น่าสนใจตรงที่สหรัฐฯ นอกจากการส่งสัญญาณเตือนคนของตัวเองแล้ว ยังประณามการกระทำของรัฐบาลไทยอย่างรุนแรง อาจมีความเป็นไปได้ที่สหรัฐฯจะใช้มาตรการกีดกันทางการค้า ด้วยการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าไทยที่ส่งไปยังสหรัฐฯเพื่อเป็นการตอบโต้

ที่สำคัญสหรัฐฯเป็นตลาดส่งออกรายใหญ่ อัตราการขยายตัวของการส่งออกของไทยไปยังสหรัฐฯในช่วง 2015-2020 นั้น อยู่ที่ประมาณ 7.4% ต่อปี จึงเห็นได้ว่า การส่งออกไปยังสหรัฐฯนั้น เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดจาก 34,380 ล้านเหรียญในปี 2020 มาเป็น 54,960 ล้านเหรียญ ในปี 2024 หากสหรัฐฯประกาศใช้มาตรการทางภาษี จะส่งผลกระทบกับการส่งออกของไทยอย่างแน่นอน

การส่งชาวอุยกูร์กลับจีน จึงเป็นการซ้ำเติมสถานการณ์การท่องเที่ยวไทย ที่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ กลับแย่ลงไปอีก โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีน อาจจะงดมาเที่ยวไทยในช่วงนี้

อีกทั้งที่ผ่านมา ปริมาณนักท่องเที่ยวไม่เป็นไปตามเป้าที่ตั้งไว้ เนื่องจากรัฐบาลจีนรณรงค์ให้เที่ยวในประเทศ เนื่องจากเศรษฐกิจในประเทศมีปัญหา คนจีนจึงไม่เที่ยวนอกประเทศ ประกอบกับกลัวอันตรายจากแก๊งลักพาตัว ทำให้คนจีนมาเที่ยวประเทศไทยลดลง จากสถิติชี้ว่าในปี 2567 นักท่องเที่ยวจีนฟื้นตัวเพียง 60% เท่านั้น

ข้อมูลจาก บลูมเบิร์ก อินเทลลิเจนซ์ เปิดเผยว่า กรณีของนักแสดงชาวจีน “หวัง ซิง” ที่ถูกลักพาตัวไปยังเมียนมา ส่งผลให้เกิดการยกเลิกทริปตรุษจีนครั้งใหญ่ แม้ไทยจะเร่งปราบปรามแก๊งอาชญากรรมที่ใช้ไทยเป็นทางผ่าน ลักลอบนำเหยื่อไปทำงานที่ศูนย์แก๊งคอลเซ็นเตอร์ แต่ก็ยังไม่สามารถคลายความกังวลของนักท่องเที่ยวจีนในเรื่องความปลอดภัย ซึ่งมีผลต่อการตัดสินใจของนักท่องเที่ยวจีน

ที่ผ่านมา ถ้ารัฐบาลจีนไม่กดดัน รัฐบาลไทยก็คงไม่ทำอะไร หากไทยไม่สามารถแก้ไขปัญหาความกังวลด้านความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวชาวจีนให้แล้วเสร็จภายในสิ้นไตรมาสนี้ (สิ้นเดือนมีนาคม) จะทำให้เป้าหมายนักท่องเที่ยวจีน 8–8.9 ล้านคนในปีนี้ เป็นไปได้ยาก หากปัญหายืดเยื้อไปถึงสิ้นปี 2568 อาจส่งผลให้นักท่องเที่ยวจีนเข้าประเทศไทยต่ำกว่า 7.5 ล้านคน ขณะที่ยอดจองเที่ยวบินจากจีนมาไทยในเดือนมีนาคมยังลดลง 10% แต่เมษายนถึงพฤษภาคมมีแนวโน้มเติบโตกว่า 3% บทวิเคราะห์ดังกล่าวเปิดเผยก่อนจะเกิดกรณีรัฐบาลไทยส่งชาวอุยกูร์กลับจีน

อย่าลืมว่า ประเทศไทยต้องพึ่งพาการท่องเที่ยวเป็นรายได้หลัก นอกจากเม็ดเงินจำนวนมหาศาลที่เข้ามาหมุนเวียนในเศรษฐกิจไทยแล้ว การเดินทางเข้ามาของนักท่องเที่ยวต่างชาติ ยังนำมาซึ่งเงินตราต่างประเทศ ที่เสริมสร้างให้ทุนสำรองระหว่างประเทศของไทยมีความเข็มแข็งมากขึ้น อีกทั้งในมิติของธุรกิจท่องเที่ยว ซึ่งเป็นกลุ่มธุรกิจบริการ เม็ดเงินที่ผู้ประกอบการไทยได้รับในรูปแบบของกำไร ก็มีส่วนต่างมากกว่ากลุ่มภาคการผลิต

บทเรียนจากกรณีระเบิดที่สี่แยกราชประสงค์ปี 2015 เป้าหมายของผู้ก่อการร้ายพุ่งเป้าไปที่นักท่องเที่ยวจีน เชื่อว่ายังเป็นภาพจำที่คนจีนไม่มีวันลืม ยิ่งประเทศไทยเป็นประเทศเปิด เพราะต้องหารายได้จากการท่องเที่ยว การเดินทางเข้า-ออกประเทศ จึงค่อนข้างง่าย โดยเฉพาะช่วงนี้รัฐบาลมีนโยบาย “ฟรีวีซ่า” จูงใจนักท่องเที่ยว

นั่นหมายความว่า ใครเข้ามาก็ได้ ไม่ต้องมีวีซ่า ทำให้การตรวจสอบคนเดินทางเข้า-ออก ยากลำบากกว่าเดิม ยิ่งจะทำให้นักท่องเทียวไม่มั่นใจในเรื่องความปลอดภัย

การส่งตัวชาวอุยกูร์กลับประเทศครั้งนี้ ไทยอาจจะต้องยอมสูญเสียรายได้จาก “การท่องเที่ยว” รวมถึง “การส่งออก” หากสหรัฐฯตอบโต้ เพื่อแลกกับสิ่งที่รัฐบาลกระทำ…อย่างมิอาจปฏิเสธได้

นี่คือ “ราคาที่ต้องจ่าย” ยังไม่รวมราคาที่ต้องจ่ายในเรื่อง “ความน่าเชื่อถือ” ในเวทีระดับโลก “ความโปร่งใส” ในการดำเนินการ เป็นคำถามที่ชาวโลกสงสัย แต่ด้านหนึ่งก็เห็นใจรัฐบาล ในเมื่อต้อง “ยืมจมูกคนอื่นหายใจ” ก็คงต้องยอมจ่ายแพง!!!

………………………………..

คอลัมน์ : เศรษฐศาสตร์ข้างทาง

โดย “ทวี มีเงิน”

สนับสนุนคอลัมน์ โดย :   บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน)

- Advertisment -spot_imgspot_img
- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_imgspot_img

Featured

- Advertisment -spot_img
Advertismentspot_imgspot_img
spot_imgspot_img