วันอังคาร, มีนาคม 11, 2025
หน้าแรกCOLUMNISTSเบรก‘โมโตจีพี’ เกมวัดพลัง‘เนวิน vs พท.’
- Advertisment -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

เบรก‘โมโตจีพี’ เกมวัดพลัง‘เนวิน vs พท.’

คงไม่มีใครปฏิเสธว่า “เนวิน ชิดชอบ” ครูใหญ่แห่งภูมิใจไทย คือผู้ที่พลิกเมืองบุรีรัมย์จาก “เมืองตำน้ำกิน” เป็น “เมืองเศรษฐกิจ” ที่ขยายตัวและจีดีพี.โตอย่างต่อเนื่องทุกปี สร้างจุดขายด้วยการปั้น “จ.บุรีรัมย์” เป็น “มหานครแห่งกีฬา”

เริ่มจาก ทีมฟุตบอลบุรีรัมย์ยูไนเต็ด ที่ตอนนี้เป็นที่รู้จักทั่วเอเชีย มาถึง มหกรรมวิ่งมาราธอน อีเวนต์ที่นักวิ่งทั้งไทยและเทศจากทั่วโลก ต้องมาร่วมกิจกรรมทุกปี ทำให้บุรีรัมย์เป็นเมืองที่มีชีวิตชีวา ไม่แห้งแล้งเหมือนในอดีต แต่ละปีมีอีเวนต์ทั้งกีฬา บันเทิง และวัฒนธรรม เกือบๆ ร้อยอีเวนต์

ทุกวันนี้เศรษฐกิจบุรีรัมย์พลิกจากเมื่อ 20 ปีที่แล้ว แบบหน้ามือเป็นหลังมือ โครงสร้างพื้นฐานก็ดีขึ้น การเดินทาง โรงแรม ร้านอาหาร ตลอดจนผู้คนในจังหวัด และจังหวัดใกล้เคียง สามารถหารายได้ จากอีเวนต์ระดับโลกนี้เป็นอย่างดี

แต่อีเวนต์ที่สำคัญและยิ่งใหญ่เป็นหน้าเป็นตา ไม่เฉพาะบุรีรัมย์ แต่เป็นหน้าตาของประเทศ เป็นแม่เหล็กดึงดูดคนจากทั่วโลกต้องมาที่นี่ นั่นคือ การแข่งขันรถจักรยานยนต์ทางเรียบชิงแชมป์โลก “โมโตจีพี” สุดยอดศึกสองล้อที่เร็วที่สุดและยิ่งใหญ่ที่สุด

ถือเป็นรายการกีฬายอดนิยมมีผู้ชมมากที่สุดรายการหนึ่งของโลก ถ่ายทอดสดไปมากกว่า 200 ประเทศ ยอดผู้ชมในทุกแพลตฟอร์มกว่า 1,000 ล้านคน ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ 6 ปี ตั้งแต่ปี 2561 ตลอดระยะเวลา 6 ปี สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจสูงถึงราว 2.5 หมื่นล้านบาท การแข่งขันถูกเผยแพร่สู่สื่อมอเตอร์สปอร์ตยักษ์ใหญ่ทั่วโลก สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต ถูกยกย่องว่าเป็นแค่ไม่กี่สนามในโลกที่ได้ เกรด A สหพันธ์จักรยานยนต์ระหว่างประเทศ

หากจะบอกว่า “โมโตจีพี สนามประเทศไทย” เป็นแรงขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจได้อย่างดี ก็คงไม่ผิดนัก ล่าสุด กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เผยข้อมูลการแข่งขัน ระหว่างวันที่ 28 ก.พ.-2 มี.ค.2025 ที่ผ่านมาว่า สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจสูงเป็นประวัติการณ์ เกินกว่า 5,000 ล้านบาท จำนวนผู้ชมที่สูงขึ้นเกือบ 7% การสร้างงานที่สูงขึ้น 12% และการใช้จ่ายต่อหัวของนักท่องเที่ยวต่างชาติ 52,000 กว่าคน สูงขึ้นประมาณ 38% สูงที่สุดตั้งแต่เริ่มจัดงานมาตลอดระยะเวลา 6 ปี ที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ เรียกว่า ทุบสถิติเดิมแทบจะทุกมิติก็ว่าได้

อย่างไรก็ตามการแข่งขัน “โมโตจีพี” ยัง “ลูกผีลูกคน” ว่า จะได้ไปต่อ หรือพอแค่นี้ หลังจากสัญญาจะหมดลงในปีหน้า “เนวิน” เจ้าของสนามช้างอินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต ส่งสัญญาณว่า อาจจะไม่ได้ไปต่อ ผ่านการโพสต์เป็นนัยว่า “มาเชียร์” และ “มาลา โมโตจีพี” ด้วยกันว่า สาเหตุที่รัฐบาลอาจไม่ต่อสัญญา “โมโตจีพี” เป็นเพราะว่านี่เป็นเกมในการ “แย่งชิงมวลชน” ของพรรคการเมืองร่วมรัฐบาล ที่พักหลังๆ เริ่มเตะตัดขากันบ่อยๆ งานนี้ก็เป็นรายการ “เตะตัดขา” เช่นกัน

อย่าลืมว่า สนามแข่งของ “โมโตจีพี” อยู่ในพื้นที่ของจังหวัดบุรีรัมย์ ซึ่งถือเป็นเขตอิทธิพลของ “พรรคภูมิใจไทย” ที่มี “เนวิน” เป็นครูใหญ่ ซึ่งหลายปีที่ผ่านมา มักได้ทั้งหน้าและคะแนนจากประชาชนที่ให้การยอมรับจากการจัดรายการแข่งขัน “กีฬาระดับโลก” มาแล้วหลายรายการ

“ปมขัดแย้ง” ที่เกิดขึ้น จึงน่าจะเป็นเรื่อง “การเมืองล้วนๆ” ไม่ใช่เรื่อง “งบประมาณ” ไม่มีเรื่อง “ธุรกิจ” เจือปน

อันที่จริงการต่อสัญญากับ “ดอร์นา สปอร์ต” เจ้าของลิขสิทธิ์ “โมโตจีพี” แม้จะมีมูลค่าที่สูงถึง 800 ล้านบาท โดยรัฐบาลจ่าย 500 ล้านบาท และเอกชนจ่าย 300 ล้านบาท แต่ตัวเลขที่รัฐจะต้องจ่าย จริงๆ ไม่น่าจะเกิน 150 ล้านบาท ที่เหลือมีเอกชนสนับสนุนทั้งจากค่ายรถมอเตอร์ไซค์ ค่ายเครื่องดื่ม และเอกชนในพื้นที่ ที่ต่างก็ยินดีควักจ่ายให้ เงินงบประมาณจึงไม่ใช่ปัญหา

แต่ “เบื้องหลังการถ่ายทำ” คือ “พรรคเพื่อไทย” หวังชิงคะแนนนิยมและบลั๊ฟ “พรรคภูมิใจไทย” ด้วยการเตรียมดันบิ๊กโปรเจกต์ขึ้นมาแทน โดยจะจัดการแข่งขัน “ฟอร์มูล่า วัน” หรือที่เรียกว่า F1 และมีข่าววงในว่า รัฐบาลจะเลือกแค่รายการเดียว เรื่องนี้ไม่ใช่จู่ๆ มีข่าวนี้โผล่มา แต่มีการเตรียมการมานาน ตั้งแต่ในยุคนายกฯ “เศรษฐา ทวีสิน” มีทริปไปต่างประเทศ มีโอกาสแวะไปประเทศอิตาลี ได้ไปพูดคุยกับ ประธานฟอร์มูล่า วัน มาแล้ว เรื่องนี้ “เนวิน” น่าจะรู้ความเคลื่อนไหวมาโดยตลอด ถึงได้เป็นจุดเริ่มต้นของข่าวลือว่า รัฐบาลไทยอาจลงทุน “ฟอร์มูล่า วัน” แต่ก็มีข้อท้วงติงเรื่องการลงทุน ต้องใช้งบประมาณมหาศาลจะ ต้องจ่ายค่าลิขสิทธิ์สูงกว่า “โมโตจีพี” หลายเท่าตัว แม้จะเป็นรายการแข่งรถระดับสูงสุดในวงการรถแข่งที่มีผู้ชมมหาศาล แต่ได้ไม่คุ้มเสีย

มีบทเรียนจากประเทศมาเลเซีย ที่ลงทุนสร้างสนาม “เซปัง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต” รองรับเป็นเจ้าภาพและจัดการแข่งขัน F1 อยู่หลายปี ในที่สุดก็ต้องปิดตัวลงไป โดยให้เหตุผลว่า การจัดแข่ง F1 ต้องใช้งบประมาณสูงมาก และตอนนี้ก็ไม่ดึงดูดผู้ชมเหมือนอย่างเคย ที่ผ่านมารัฐบาลมาเลเซียต้องใช้งบประมาณจัดแข่ง F1 ปีละ 300 ล้านริงกิต (2.4 พันล้านบาท) และนี่คืองบเฉพาะส่วนของการแข่งรถเท่านั้น แถมช่วงหลังยอดขายตั๋วก็ลดน้อยลง และมาเลเซียเอง ก็ไม่มีนักแข่งรถที่มีฝีมือพอจะเข้าร่วมเพื่อดึงดูดคนมาเลย์เข้าไปเชียร์

“บทเรียนมาเลเซีย” ก็มีให้เห็น แต่ “พรรคเพื่อไทย” ยังจุดประเด็นจัดแข่งรถ F1 ขณะที่ประเทศกำลังมีปัญหาเศรฐกิจ งานนี้น่าจะไม่ใช่แค่เรื่อง “กีฬา” แต่เป็นแค่ “เกมเตะตัดขาทางการเมือง” ดิสเครดิตคู่แข่ง แม้ทั้งสองฝ่ายจะออกมาชี้แจงในทำนองเคลียร์กันแล้วและเข้าใจกันแล้ว แต่ไม่น่าจะจบง่ายๆ ตราบใดที่ “พรรคเพื่อไทย” กับ “พรรคภูมิใจไทย” ยังชิงพื้นที่ทางการเมืองกัน

………………………………..

คอลัมน์ : เศรษฐศาสตร์ข้างทาง

โดย “ทวี มีเงิน”

สนับสนุนคอลัมน์ โดย :   บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน)

- Advertisment -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img
- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_imgspot_img

Featured

- Advertisment -spot_img
spot_img
Advertismentspot_imgspot_img
spot_imgspot_img