วันพุธ, มีนาคม 26, 2025
หน้าแรกCOLUMNISTS6เดือนรัฐบาลอุ๊งอิ๊ง-นิทานหลอกชาวบ้าน บทพิสูจน์6เดือนของนักเล่ามือสมัครเล่น
- Advertisment -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

6เดือนรัฐบาลอุ๊งอิ๊ง-นิทานหลอกชาวบ้าน บทพิสูจน์6เดือนของนักเล่ามือสมัครเล่น

ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 12 กันยายน 2567 เป็นวันที่ “อุ๊งอิ๊ง” แพทองธาร ชินวัตร รับไม้ต่อตำแหน่ง นายกรัฐมนตรี จาก “เศรษฐา ทวีสิน” จากวันนั้นจนถึงวันนี้ เป็นเวลา 6 เดือนบนเก้าอี้ “ผู้นำรัฐบาล” ของ “นายกฯแพทองธาร”

แต่หากนับเวลาที่ พรรคเพื่อไทย เป็น แกนนำรัฐบาล ในการบริหารประเทศก็เป็นเวลากว่า 2 ปีแล้ว น่าจะทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเห็นหน้าเห็นหลังบ้าง แต่ดูจะเป็น 2 ปีที่สูญเปล่าสำหรับประเทศไทย โดยเฉพาะ เศรษฐกิจดูจะถอยหลังลงคลองเรื่อยๆ

แม้เปลี่ยน “นายกรัฐมนตรี” มาเป็น “แพทองธาร” ก็ยังไม่มีแนวโน้มไปในทิศทางที่ดีแต่อย่างใด

สำนักข่าวบลูมเบริก ซึ่งเป็นสำนักข่าวระดับโลก วิเคราะห์เศรษฐกิจไทยในยุครัฐบาลอุ๊งอิ๊งว่า “แนวโน้มเศรษฐกิจไทยดิ่งเหวถึงขั้นเลวร้ายที่สุดในโลก เพราะนโยบายแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจของรัฐบาลไทยไร้ทิศทาง สั่นคลอนความเชื่อมั่นทำให้นักลงทุนเทขายหุ้นกว่า 1.4 แสนล้านบาท สูงสุดในรอบ 5 ปี สะท้อนความล้มเหลวของ “แพทองธาร ชินวัตร” 

นี่เป็นการมองจาก “คนนอก” เข้ามา “ข้างใน” จาก “สื่อเทศ” ที่มองเมืองไทย

ปัญหาที่เป็นรูปธรรมชัดเจน คนไทยทั่วไปก็รู้สึกตอนนี้คือ ปัญหาปากท้องของประชาชน ที่รายได้ไม่พอรายจ่าย เป็นผลมาจากคนไทยมี “หนี้ครัวเรือน” ในสัดส่วนที่ค่อนข้างสูงเกือบๆ 90% ของจีดีพี. อีกทั้ง “รายได้คงเดิม” แต่ “ค่าครองชีพสูงขึ้น” ทำให้อำนาจซื้อของ “ประชาชน” ลดลง “พ่อค้า-แม่ค้า” ขายของไม่ได้ ไม่มีเม็ดเงินมากระตุ้นเศรษฐกิจ “ธุรกิจรายย่อย” ทยอยปิดกิจการ

รัฐบาลก็ยังใช้มุกเดิมๆ ด้วยการ “แจกเงินชาวบ้าน” กระตุ้นเศรษฐกิจ แจกแล้ว 2 เฟส ใช้ไปแล้ว 5 แสนล้านบาท จีดีพี.โตขึ้นแค่ 0.8% “ได้ไม่คุ้มเสีย” การกระตุ้นเศรษฐกิจกลับไม่เป็นไปตามเป้า แต่รัฐบาลก็ยังดันทุรังแจกเฟส 3 เฉพาะกลุ่มอายุ 16-20 ปี จนโดนวิพากษ์วิจารณ์ว่า เป็น การแจกเพื่อหาเสียงกับคนรุ่นใหม่ เตรียมรับมือเลือกตั้งในอีก 2 ปีข้างหน้า 

ตลาดหุ้น ที่เป็นสัญลักษณ์ของความเชื่อมั่นของนักลงทุน เป็นดัชนีชี้วัดเศรษฐกิจก็ “ซบเซา-ซึมลึก” มาตั้งแต่ยุครัฐบาล คสช. จนมาถึง “รัฐบาลอุ๊งอิ๊ง” กลับยิ่ง “ทรุดลงเรื่อยๆ” เรียกว่า “ไปไม่กลับ หลับไม่ตื่น ฟื้นไม่มี”

ตอนแรกก็หวังว่า พรรคเพื่อไทยที่เคยได้ชื่อว่า มีมือดีด้านเศรษฐกิจ จะมาแก้ปัญหา แต่กลับกลายสถานการณ์หนักกว่าเดิม

ปัญหาปากท้อง เป็นปัญหาใหญ่ตอนนี้ แต่ดูเหมือน รัฐมนตรีที่ดูแลกระทรวงพาณิชย์จะเน้นเดินสายต่างประเทศ เจรจาเอฟทีเอ. (เขตการค้าเสรี) สานต่อผลงานรัฐบาลก่อนๆ แต่ส่วนใหญ่เน้นเดินสายชักชวนนักลงทุนมาลงทุน อันหลัง “ไม่ใช่หน้าที่” จนบรรดาสส.ในพรรคเพื่อไทย เปิดอภิปรายในการประชุมพรรคเมื่อเดือนที่ผ่านมา “ตำหนิการทำงาน” ว่า ไม่สนใจปัญหาปากท้องประชาชน หรือราคาพืชผลการเกษตรตกต่ำ แต่ชอบเดินสายต่างประเทศ

ในการสำรวจของ “นิด้าโพล” เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา ได้สะท้อนความรู้สึกประชาชนไม่พอใจการทำงานของ “รัฐบาลแพทองธาร” และ “นายกรัฐมนตรี” ในรอบ 6 เดือน โดยไม่พอใจการทำงาน “กระทรวงพาณิชย์” มากที่สุด 

นอกจากการลงทุนในตลาดหุ้นจะซบเซา บรรยากาศการลงทุนแบบทางตรง (FDI) ก็ซบเซาไม่แพ้กัน แม้ล่าสุด “บีโอไอ” ที่เปิดเผยตัวเลขการลงทุนว่า สูงสุดในรอบ 10 ปี มูลค่ากว่า 1 ล้านล้านบาท แต่ในความเป็นจริง ตัวเลขนี้ยังเป็นแค่ “การลงทุนทิพย์” ยังอยู่ในขั้นตอนขอยื่นรับการส่งเสริมการลงทุนจากบีโอไอเท่านั้น ยังไม่ได้ตัดสินใจลงทุนจริงๆ แต่ “รัฐบาล” และ “บีโอไอ” ก็เอามา “ตีปี๊บ” เรียกคะแนน

ขณะเดียวกัน นักลงทุนที่ยื่นขอรับการส่งเสริมการลงทุนในไทย ส่วนใหญ่จะเป็นนักลงทุนจีน ที่ย้ายฐานการลงทุนมาเพื่อใช้สิทธิพิเศษของไทย ส่งสินค้าเข้าอเมริกา เนื่องจากสินค้าที่ผลิตจากจีน จะโดนมาตรการภาษีจากนโยบายของ “ประธานาธิบดีทรัมป์” จึงเลี่ยงลงทุนไทยแทน

จะว่าไปการเข้ามาลงทุนของจีน ประเทศไทยไม่ได้อะไรเลย ทุกอย่างจีนนำเข้ามาทั้งหมด แม้แต่แรงงานก็เป็นแรงงานจากจีน

ที่ผ่านมา ตั้งแต่ “รัฐบาลเศรษฐา” จนถึง “รัฐบาลแพทองธาร” พยายามชักชวนนักลงทุนจากต่างประเทศเข้ามาลงทุน มีทั้งไปโรดโชว์ต่างประเทศ และยังเชื้อเชิญให้บรรดาซีอีโอ.บิ๊กเทคจากสหรัฐฯ เข้ามาหารือเพื่อดึงลงทุนในไทย แต่ก็เงียบหาย แต่ที่ “บาดใจ” คือภาพล่าสุดที่เผยแพร่ออกมา บริษัทอเมริกันกว่า 40 ราย เดินทางไปเยือนเวียดนามเพื่อดูบรรยากาศในการลงทุน สะท้อนว่า นักลงทุนขาดความเชื่อมั่นรัฐบาลและประเทศไทย อย่างมิอาจปฏิเสธได้จริงๆ 

น่าจับตาต่อไปว่า สถานการณ์การส่งออกและท่องเที่ยวไทยจะเป็นอย่างไร หลังจากประเทสไทยโดนวิจารณ์อย่างหนัก จากกรณีที่รัฐบาลไทยส่งชาวอุยกูร์ 40 คนกลับไปยังประเทศจีน ทั้งสหรัฐฯและอียู ซึ่งเป็นคู่ค้ารายใหญ่ของไทยออกโรงประณามอย่างรุนแรง และสหรัฐฯมีแนวโน้มจะใช้มาตรการภาษีตอบโต้ไทย คาดว่าจะรู้ผลในวันที่ 2 เมษายนนี้ ส่วนอียูคาดว่า จะชะลอการเจรจาเขตการค้าเสรี (เอฟทีเอ) กับไทยออกไป อย่างไม่มีกำหนด ย่อมส่งผลกระทบการส่งออกของไทยแน่ๆ

ตลอดเวลา 2 ปีที่พรรคเพื่อไทยบริหารประเทศ 6 เดือนของ “แพทองธาร” นโยบายหลักๆ ที่เคยหาเสียงไว้ ค่าแรง 600 บาท ครอบครัวมีรายได้ 2 หมื่นบาท จบ ป.ตรี มีเงินเดือน 2.5 หมื่นบาท เกษตรกรมีรายได้ เพิ่ม 3 หมื่นบาท ต่อปีต่อไร่ จึงเป็นแค่ “นิทานหลอกชาวบ้าน” จาก “นักเล่ามือสมัครเล่น” เท่านั้น 

……………………….

คอลัมน์ : เศรษฐศาสตร์ข้างทาง

โดย “ทวี มีเงิน”

สนับสนุนคอลัมน์ โดย :   บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน)

- Advertisment -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img
- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_imgspot_img

Featured

- Advertisment -spot_img
spot_img
Advertismentspot_imgspot_img
spot_imgspot_img