วันพุธ, พฤษภาคม 28, 2025
หน้าแรกCOLUMNISTSระวัง‘ดิจิทัล วอลเล็ต’ ซ้ำรอย‘จำนำข้าว’
- Advertisment -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

ระวัง‘ดิจิทัล วอลเล็ต’ ซ้ำรอย‘จำนำข้าว’

ปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา มี ข่าวใหญ่ช็อกรัฐบาล และ พรรคเพื่อไทย จากกรณี ศาลปกครองสูงสุด ตัดสินให้ “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี ชดใช้คดีจำนำข้าว 10,028 ล้านบาท ในฐานะประธานคณะกรรมการข้าวแห่งชาติ (กขช.) ปล่อยให้มีการทุจริตในโครงการรับจำนำข้าวและเพิกเฉยไม่ระงับยับยั้งความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่ทางราชการ 

นับเป็นครั้งแรกที่ “ผู้นำประเทศ” ต้องมา “ควักกระเป๋าส่วนตัว” จ่ายค่าความเสียหายจากการดำเนินนโยบายผิดพลาด กรณีนี้กลายเป็นประเด็นที่กำลังถกเถียงในวงกว้าง มีทั้งฝ่ายที่เห็นด้วยและเห็นต่าง จากคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด 

ต้องยอมรับว่า “นโยบายจำนำข้าว” ในสมัย “ยิ่งลักษณ์” ไม่ใช่การจำนำแบบปกติที่เคยทำมา เพื่อช่วยดึงราคาตลาด แต่เป็นการรับจำนำข้าวจากชาวนาทุกเม็ด สูงกว่าตลาด 1.5 หมื่นบาทต่อตัน ข้าวหอมมะลิ 2 หมื่นบาทต่อตัน จะว่าไปแล้ว วิธีการรับจำนำลักษณะนี้ ไม่ต่างจากการ “รับซื้อข้าว” จากชาวนา โดย “รัฐบาล” ทำตัวเป็น “พ่อค้า” เสียเอง ทั้งที่ไม่มีความชำนาญ 

คนที่ออกมาคัดค้านไม่เห็นด้วยคนแรกไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็น “ดร.โกร่ง-วีระพงษ์ รามางกูร” ประธานที่ปรึกษานายกฯยิ่งลักษณ์ นั่นเอง “ดร.โกร่ง” ถือว่าเป็นนักเศรษฐศาสตร์ที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญเรื่องข้าวมากคนหนึ่ง มองว่า รัฐบาลแก้ปัญหาไม่ตรงจุด อีกทั้งจะ มีการทุจริตมโหฬาร 

“หน่วยงานราชการ-สตง.-ป.ป.ช.” มีหนังสือแจ้งผลการตรวจสอบการดำเนินการโครงการรับจำนำข้าวว่า โครงการมีปัญหาเกิดความสูญเสียต่องบประมาณแผ่นดินจำนวนมาก มีการทุจริตเชิงนโยบายหลายขั้นตอน แต่ “รัฐบาลยิ่งลักษณ์” ก็ยังเดินหน้าโครงการต่อไป 

แม้ตอนนี้จะมีหลายคนออกมาบอกว่า “ยิ่งลักษณ์” ไม่ผิด ไม่ควรชดใช้ เพราะเป็นนโยบายทางการเมือง “ดีหรือไม่ดี” ต้องให้ “ประชาชน” เป็นผู้ตัดสิน 

อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ต้องแยกเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนหนึ่งความเสียหายจากนโยบายที่ขาดความรอบคอบ เช่น มีการนำข้าวจากประเทศเพื่อนบ้าน มาสวมสิทธิ์ขายในโครงการ บรรดาหัวคะแนน นายทุนท้องถิ่นกว้านซื้อข้าวชาวนาในราคาต่ำๆ มาขายในโครงการ เป็นต้น ส่วนที่สอง ต้องไม่ปฏิเสธว่า โครงการนี้มีการทุจริตมโหฬารในทุกระดับ มีนักการเมืองและข้าราชการต้องติดคุกติดตะรางมาแล้ว 

อาจจะมีการตั้งคำถามว่า “ยิ่งลักษณ์” รู้เรื่องนี้หรือไม่ แต่ในฐานะ “นายกรัฐมนตรี” และ “ประธานคณะกรรมการข้าวแห่งชาติ” ควรจะต้องรับรู้ ควรจะต้องคนมีรายงานให้ทราบ โครงการขนาดใหญ่ ใช้งบประมาณมหาศาล จะบอก “ไม่รู้” ไม่ได้ และไม่ควรจะปล่อยปละละเลย อีกทั้งคนที่ถูกกล่าวหาว่าทุจริตคือ รัฐมนตรีในครม. ว่ากันว่ามีคนที่ใหญ่กว่ารัฐมนตีสั่งการอีกชั้นหนึ่ง

อย่าลืมว่า เงินนี้เป็นเงินภาษีประชาชน การที่รัฐบาลบอกว่า โครงการนี้ชาวนาส่วนใหญ่ได้ประโยชน์ แต่พรรคการเมืองก็ได้คะแนนเช่นกัน แต่ความเสียหายตกอยู่กับประชาชนผู้เสียภาษีที่ต้องรับผิดชอบ 

ที่สำคัญ ระหว่างดำเนินโครงการมี “เสียงเตือน” จากผู้เชี่ยวชาญ จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง แต่ “รัฐบาลไม่ฟัง” ไม่ทบทวน ตรงนี้จะบอกว่า “ยิ่งลักษณ์” ไม่ผิด…ก็คงไม่ได้ แต่จะต้องรับผิดด้วยเม็ดเงินนับหมื่นล้านบาทหรือไม่ นั่นเป็นเรื่องที่ต้องพิจาณาด้วยความเป็นธรรม 

นอกจากโครงการรับจำนำข้าว ทำให้นึกถึงอีกโครงการของรัฐบาลโดยพรรคเพื่อไทย ที่เข้าข่ายล่อแหลม แถมประโยชน์จริงๆ ก็น้อยกว่า นั่นคือ โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจแจกเงิน 1 หมื่นบาทผ่าน “ดิจิทัล วอลเล็ต” ที่ดำเนินไปแล้ว 2 เฟส ผลที่ออกมาไม่เป็นไปตามคาด จาก “พายุหมุนเศรษฐกิจ” เป็นแค่ “ลมบ้าหมู” แทบไม่มีส่วนช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจแต่อย่างใด

โครงการนี้ก่อนดำเนินการก็คล้ายๆ กับโครงการรับจำนำข้าวคือ “มีคนเตือนว่าจะมีความเสียหายตามมา” โดยเฉพาะ “แบงก์ชาติ” ที่คัดค้านอย่างแข็งขันมาโดยตลอด แม้แต่ “สภาพัฒน์” เองก็ไม่เห็นด้วย แต่รัฐบาลก็ยังเดินหน้าและดำเนินการมาแล้ว 2 เฟส ยังเหลืออีก 2 เฟส

กระทั่งในการประชุม คณะกรรมการนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ ครั้งที่ 2 เมื่อ 19 พ.ค. ที่ผ่านมา โดยมี “แพทองธาร ชินวัตร” นายกรัฐมนตรี เป็นประธานฯ รวมถึง “ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ” ผู้ว่าการแบงก์ชาติ เข้าร่วมประชุมด้วย ที่ประชุมมีมติให้ทบทวนงบกระตุ้นเศรษฐกิจ 1.57 แสนล้านบาท

หลังการประชุม “นายกฯแพทองธาร” แถลงยอมรับว่า “โครงการแจกเงินหมื่น ดิจิทัล วอลเล็ต ต้องมีการทบทวน”

พิชัย ชุณหวชิร

 

ต่อมา “พิชัย ชุณหวชิร”  รองนายกฯและรมว.คลัง แถลงรายละเอียดเพิ่มเติมว่า “จะนำงบ 1.57 แสนล้านบาทไปแก้ปัญหาเรื่องน้ำ ระบบคมนาคม รถไฟความเร็วสูง การท่องเที่ยว รวมทั้งปัญหาเฉพาะหน้าของเอสเอ็มอี ส่วน โครงการแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ตชะลอไปก่อน จนกว่าสถานการณ์จะเหมาะสม”

รุ่งขึ้นวันที่ 20 พ.ค. ครม.เห็นชอบให้เลื่อนการแจกเงินหมื่นในโครงการดิจิทัล วอลเลต อีก 2 เฟส ที่เหลือออกไปไม่มีกำหนด ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ

เบื้องหลังจริงๆ ที่ “รัฐบาลยอมถอย” เพราะรู้ว่า สถานะการคลังอยู่ในสภาพ “กระเป๋าฉีก” กรมภาษีทั้ง 3 กรม ภายใต้สังกัดกระทรวงการคลัง เก็บภาษีไม่เข้าเป้า

อีกทั้งไม่กี่วันมานี้ “สภาพัฒน์” ออกมาแถลงว่า ปี 2568 จีดีพี.จะโตไม่เกิน 1.8% เท่านั้นถือว่า “ต่ำมาก” เศรษฐกิจไทยกำลังวิกฤติหนัก ฉะนั้นเงินทุกบาท-ทุกสตางค์จึงต้องใช้อย่างคุ้มค่า เป็นประโยชน์กับคนส่วนใหญ่ให้มากที่สุด 

ถ้ารัฐบาลยังดันทุรังเดินหน้า โครงการแจกเงินหมื่นผ่านดิจิทัล วอลเล็ตต่อไป “ชะตากรรม” อาจจะซ้ำรอยโครงการ “จำนำข้าว” ก็เป็นได้

………………………………

คอลัมน์ : เศรษฐศาสตร์ข้างทาง

โดย “ทวี มีเงิน”

สนับสนุนคอลัมน์ โดย :   บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน)

- Advertisment -spot_imgspot_img
- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_imgspot_img

Featured

- Advertisment -spot_img
spot_img
Advertismentspot_imgspot_img
spot_imgspot_img