วันอังคาร, มิถุนายน 17, 2025
หน้าแรกCOLUMNISTS“เศรษฐกิจ-การเมือง”หลังชนฝา... “ประเทศไทย”ใกล้สู่“รัฐล้มเหลว?”
- Advertisment -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

“เศรษฐกิจ-การเมือง”หลังชนฝา… “ประเทศไทย”ใกล้สู่“รัฐล้มเหลว?”

ทุกวันนี้ใครๆ ก็ตั้งคำถามว่า ประเทศไทย อยู่ในขั้นที่เรียกว่า “รัฐล้มเหลว” หรือที่เรียกว่า “Fail State” แล้วหรือยัง??

ประเด็นนี้เป็นที่ถกเถียงกัน ยังมีความเห็นหลากหลาย ซึ่งนิยาม “รัฐที่ล้มเหลว” คือ การที่รัฐสูญเสียความสามารถในการปฏิบัติหน้าที่ด้านความมั่นคงและการพัฒนาพื้นฐาน ขาดการควบคุมอย่างมีประสิทธิผลเหนือดินแดนและพรมแดน เช่น ไม่มีความสามารถในการจัดเก็บภาษี การบังคับใช้กฎหมาย การรับรองความปลอดภัย การควบคุมดินแดน และการแทรกแซงทางทหารจากทั้งภายในภายนอกรัฐ

หากดูจากนิยามดังกล่าว อาจจะยังไม่ใช่ แต่ก็ถือว่า “ใกล้เคียง”

ที่แน่ๆ “รัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร” น่าจะใกล้สภาวะ “รัฐบาลเป็ดง่อย” มากขึ้นทุกที เพราะทำอะไรก็ไม่ได้ เดินหน้าก็ไม่ได้ จะปรับ ครม.ก็ไม่ได้ จะยุบสภาก็ไม่ได้ ต้องทนอยู่กันไปแบบนี้ ปัญหาเศรษฐกิจก็แก้ไม่ได้ “ชักตื้นติดกึก-ชักลึกติดกั๊ก” ปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ก็หนักข้อทุกวัน มิหนำซ้ำยังมีปัญหาความขัดแย้งเรื่องเขตแดนไทยกับกัมพูชา ที่รัฐบาลสองพ่อ-ลูก “ฮุนเซน” กับ “ฮุนมาเน็ต” ออกมาท้าทายเหมือนกับ “ไม่ให้ราคา” รัฐบาลไทยก็ได้แต่ทำตาปริบๆ

การเมืองในรัฐบาลก็คุกรุ่นในพรรคร่วมรัฐบาล “พรรคเพื่อไทย” กับ “พรรคภูมิใจไทย” ยังหมกมุ่นอยู่กับการแย่งเก้าอี้ “กระทรวงมหาดไทย” ส่วน “ปัญหาฮั้ว สว.” ก็ยืดเยื้อคาราคาซังและเล่นกันแรงขึ้นเรื่อยๆ “พรรครวมไทยสร้างชาติ” ก็ขัดแย้งแย่งเก้าอี้รัฐมนตรีวุ่นวาย อีกทั้งกรณี “ชั้น 14 รพ.ตำรวจ” ย่อมส่งผลสะเทือนรัฐบาล โดยเฉพาะตัว “นายกฯแพทองธาร” อย่างมิอาจปฏิเสธได้

รัฐบาลตอนนี้ “เรตติ้งตกต่ำสุดๆ” รัฐมนตรีแต่ละคน ไม่มีผลงานที่ชัดเจน หลายคนเป็น “รัฐมนตรีที่โลกลืม” ในการบริหารเสมือน “1 รัฐบาล-2 นายกฯ” ข้าราชการไม่รู้จะฟังใคร จึงปล่อย “เกียร์ว่าง” รอดูทิศทางลม

ยิ่งนายกฯไม่มีภาวะผู้นำ ขาดความรู้ ขาดประสบการณ์ไม่มีใครเกรงใจ จะเห็นได้จากกรณีความขัดแย้งชายแดนเขมร สะท้อนวุฒิภาวะและศักยภาพของ “นายกฯแพทองธาร” ได้เป็นอย่างดี

ขณะที่การบริหารจัดการเศรษฐกิจ จนป่านนี้ยังไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน โครงสร้างเศรษฐกิจแต่ละด้านค่อยๆ ผุกร่อน รอวันพังทลาย ต้องเร่งยกเครื่องปรับโครงสร้างกันใหม่ แต่กลับไม่เคยมีอยู่ในนโยบายรัฐบาล มีแต่นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจเฉพาะหน้า เศรษฐกิจไทยจึงอยู่ในสภาพ “หลังชนฝา” อย่างที่เห็น

ถ้ารัฐบาลไม่เร่งปรับโครงสร้างตอนนี้ เศรษฐกิจไทยไม่ต่างจากคนเป็นง่อย อ่อนแอไม่แข็งแรง เพราะที่ผ่านมา พึ่งพาการค้าโลกเป็นหลัก ทั้งส่งออก และท่องเที่ยว แต่เครื่องยนต์สองเครื่องนี้ ที่คอยปั๊มรายได้ของประเทศกำลังอ่อนแรง ขณะที่ตลาดภายในประเทศ ไม่ได้มีขนาดใหญ่พอที่จะรองรับได้ เราจึงต้องชิงพื้นที่การส่งออกในตลาดต่างประเทศ พร้อมกับดึงนักท่องเที่ยวมาเที่ยวมากขึ้น แต่ก็ยังไม่เห็นรัฐบาลมีนโยบายอะไรที่ชัดเจนเป็นรูปธรรม

สถานการณ์ตอนนี้ภาคธุรกิจเริ่มไม่เชื่อมั่นรัฐบาลมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่มีใครกล้าลงทุน สะท้อนจากตัวเลขปัจจุบัน ธุรกิจในทุกเซ็กเตอร์ระมัดระวังตัว ปกติที่ผ่านมา เอกชนไม่ค่อยลงทุนอยู่แล้ว จึงทำให้การขยายตัวค่อนข้างต่ำ

ล่าสุดเริ่มเห็นสัญญาณความเชื่อมั่นของภาคเอกชนยิ่งน้อยลงไปอีก สะท้อนจากจากตัวเลขที่มีการคืนสินเชื่อมากกว่าปกติ เพราะต้องระมัดระวัง ไม่มีใครอยากมีภาระหนี้ และโดยเฉพาะในช่วงนี้ ที่ยังไม่มีโครงการลงทุน ภาคเอกชนจะทยอยคืนหนี้ เพื่อให้ตัวเบา ไม่ต้องแบกดอกเบี้ย

ส่วนภาคประชาชนยิ่งไม่มีความมั่นใจอยู่แล้ว ทำให้ระมัดระวังมากขึ้นผ่านการถือสินทรัพย์ต่างๆ เช่น ตราสารหนี้ หรือเงินสดซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่ปลอดภัย ส่วนการจับจ่ายใช้สอยก็น้อยลงระมัดระวังมากขึ้น กระทบถึงธุรกิจ SME หรือธุรกิจร้านอาหารพากันทยอยปิดตัวทุกวัน

ที่สำคัญนโยบายภาษีของสหรัฐที่ประกาศใช้ตอบโต้ประเทศคู่ค้า ไทยก็พลอยโดนหางเลข นโยบายของทรัมป์เที่ยวนี้เท่ากับบีบพื้นที่ให้การค้าโลกเล็กลง ทำให้การแข่งขันในตลาดต่างประเทศของไทยยากขึ้น ที่ผ่านมาการส่งออกของไทยก็ยากอยู่แล้วจะต้องยากขึ้นอีก

ขณะเดียวกันก็จะมีสินค้าจากประเทศอื่นๆ โดยเฉพาะสินค้าจีน ทะลักเข้ามาแย่งตลาด ถือเป็นอีกจุดหนึ่งที่ทำให้โครงสร้างเศรษฐกิจ หรือโครงสร้างการผลิตในบางเซ็กเตอร์ที่อ่อนแอ เดิมการแข่งขันยากอยู่แล้ว ต้องมาเจอสินค้านำเข้ามาแข่งมาดั๊มพ์ราคา นับเป็นความท้าทายของธุรกิจไทย

ขณะที่การบริโภคยังขยายตัวได้แต่ดัชนีภาคการผลิตกลับโตน้อยลง เป็นสัญญาณชี้ว่า เป็นผลจากการทะลักเข้ามาของสินค้าจากต่างประเทศเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะสินค้าจีน

หนี้ครัวเรือน

อย่างไรก็ตาม โจทย์สำคัญของเศรษฐกิจไทยเวลานี้คือ “หนี้ครัวเรือน” เนื่องจากที่ผ่านมารายได้โตช้า เศรษฐกิจก็ฟื้นตัวช้ากว่าที่คาด จึงหยิบยืมเงินในอนาคตมาใช้ กลายเป็นภาระหนี้ที่เรื้อรังมานาน และมีแนวโน้มจะเป็นดินพอกหางหมู หากไม่เร่งแก้และคอยฉุดรั้งเศรษฐกิจไทยให้จมดิ่ง ไม่มีโอกาสโงหัวขึ้นมา

“วิกฤติรอบนี้” คงไม่ได้เป็น “วิกฤติเฉียบพลัน” แต่เป็นแบบค่อยๆ เป็น ค่อยๆไป โดยที่เราไม่รู้ตัว เหมือนอยู่ในภาวะ “กบต้ม” ที่น้ำค่อยๆ ร้อนทีละนิดๆ จะรู้ตัวอีกทีก็ “น้ำเดือด” แล้ว

เหนือสิ่งใด “วิกฤติรอบนี้” ทำให้เห็น “ความอ่อนแอ” ของโครงสร้างเศรษฐกิจไทย เดิมที่ซุกอยู่ใต้พรมค่อยๆ โผล่ขึ้นมา เป็นเรื่องที่รัฐบาลต้องหาทางแก้อย่างเร่งด่วน

น่าแปลกใจรัฐบาลล้มเหลวในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจทุกด้าน แต่กลับมีความพยายามที่ผลักดันกฎหมาย “กาสิโน” ที่ผู้คนคัดค้านไม่เห็นด้วยทั้งบ้าน-ทั้งเมือง

…………………………….

คอลัมน์ : เศรษฐศาสตร์ข้างทาง

โดย “ทวี มีเงิน”

สนับสนุนคอลัมน์ โดย :   บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน)

- Advertisment -spot_imgspot_img
- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_imgspot_img

Featured

- Advertisment -spot_img
spot_img
Advertismentspot_imgspot_img
spot_imgspot_img