วันศุกร์, พฤศจิกายน 22, 2024
spot_img
หน้าแรกCOLUMNISTSอย่าเล่นการเมือง...จน“เศรษฐกิจ”เจ๊ง
- Advertisment -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

อย่าเล่นการเมือง…จน“เศรษฐกิจ”เจ๊ง

ขณะที่ข้าวของราคาแพงขึ้นทุกวัน ไม่เฉพาะ “หมู” เท่านั้น ตอนนี้สินค้าที่จำเป็นเกือบทุกประเภท พากันแอบขึ้นราคากันเป็นว่าเล่น แทนที่รัฐบาลซึ่งมีหน้าที่บริหารประเทศ จะเอามาเวลามาแก้ปัญหาเศรษฐกิจ แก้ปัญหาปากท้องชาวบ้าน ก็ต้องมาเจอมรสุมทางการเมืองโหมกระหน่ำ ต้องมาสาละวนกับการแก้เกม

ความขัดแย้งในพรรคร่วมรัฐบาล เริ่มส่อเค้าตั้งแต่การเลือกตั้งซ่อมที่ภาคใต้ กลายเป็นรอยร้าวมองหน้ากันไม่ติดระหว่าง “พลังประชารัฐ” กับ “ประชาธิปัติย์” ในการหาเสียงมีการสาดโคลนเข้าใส่กันอย่างรุนแรง ไม่กี่วันนี้ก็เพิ่งเกิด “อาฟเตอร์ช็อก” ทางการเมืองตามมาอีกระลอก เมื่อพรรคพลังประชารัฐที่เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลและหนุน “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มีมติขับ “ร.อ.ธรรมนัส พรมเผ่า” เลขาธิการพรรคและส.ส.ในกลุ่ม 21 คน พ้นพรรค

ล่าสุด “ร.อ.ธรรมนัส” ก็ยกทีมส.ส.พากันไปอยู่พรรคเศรษฐกิจไทยเรียบร้อยแล้ว งานนี้ แม้บาดแผลเป็นของพลังประชารัฐ แต่ความเจ็บปวดปฏิเสธไม่ได้ว่า “ลุงตู่” รับไปเต็มๆ เพราะใครๆ ก็รู้ว่า “ร.อ.ธรรมนัส” คือ ไม้เบื่อไม้เมา มาตั้งแต่การอภิปรายไม่ไว้วางใจ

การที่กลุ่มนี้ออกมาอยู่พรรคใหม่ ก็เท่ากับเสือติดปีก จากนี้ไปจะต่อรอง หรือตีรวน หรือจับมือฝ่ายค้าน ก็ทำได้ง่าย ไม่ต้องฟังหรือทำตามมติพรรคอีกต่อไป

ขณะเดียวกัน “ลุงตู่” ก็เป็นประเภท “ยอมหักไม่ยอมงอ” ยิ่งเป็นหัวเชื้ออย่างดีที่จะทำให้อุณหภูมิทางการเมืองนับจากนี้ไป นับวันจะร้อนแรงและดุเดือดขึ้นเรื่อยๆ พร้อมแตกหักได้ทุกเมื่อ เสถียรภาพรัฐบาลที่ผ่านวิกฤติการเมืองนอกสภาฯมาได้ นับจากนี้ไปต้องเจอศึกในสภาฯ ที่ดุเดือดเข้มข้นยิ่งกว่าหลายเท่า

ฝ่ายค้านเองก็อาศัยจังหวะนี้ ยื่นอภิปรายรัฐบาลแบบไม่ลงคะแนน ประเด็นที่อภิปรายหนีไม่พ้นเรื่อง “หมูป่วย หมูแพง” และ “สินค้าขึ้นราคา” แม้ไม่มีการลงมติอย่างน้อยก็ “ดิสเครดิตรัฐบาล” ให้เสียแต้ม ยังมีอีกหลายๆ เรื่องที่รัฐบาลต้องอาศัยเสียงสนับสนุนจากส.ส.พรรครัฐบาล เมื่อเสียงหายไป 21 เสียง ทำให้เสียงฝ่ายรัฐบาลกับฝ่ายค้านสูสีขึ้นมาทันที ในกรณีที่กลุ่มส.ส. 21 เสียงยกมือหนุนฝ่ายค้าน

ขณะที่การเมืองกำลังยุ่งวุ่นวายเปิดศึกชิงอำนาจกัน ยังไม่รู้ว่าจะจบลงอย่างไร อีกด้านหนึ่งชาวบ้าน กำลังเผชิญภาวะราคาสินค้าหลายๆ ตัวขยับเพิ่มสูงขึ้นพร้อมๆ กันอย่างต่อเนื่อง เริ่มมาตั้งแต่ปีที่แล้ว เมื่อราคาน้ำมันเชื้อเพลิงในตลาดโลกพุ่งกระฉูด ส่งผลให้ราคาน้ำมันขายปลีกบ้านเรา ขยับตามทันที โดยเฉพาะน้ำมันดีเซล ทำให้ราคาค่าขนส่งสินค้าแพงขึ้นตาม ส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ ให้สินค้าหลายๆ ตัวก็แอบขยับราคาขึ้นตามไปด้วย

ล่าสุดสินค้าหมวดอาหาร ซึ่งเป็นเรื่องของปากท้องโดยตรง ก็ทยอยปรับราคาเพิ่มขึ้นอย่างน่าวิตก เพราะราคาหมูแพง เนื่องมาจากที่ผ่านมา หมูขาดแคลนอย่างหนักเป็นผลมาจากโรค ASF ระบาด บรรดาเจ้าของฟาร์มและกลุ่มผู้เลี้ยงรายย่อยทั่วประเทศ ล้มหายตายจากไปกว่าแสนราย ประกอบกับต้นทุนการเลี้ยงที่เพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากวัตถุดิบราคาแพง ความต้องการบริโภคหลังเปิดประเทศมีมากขึ้น

ทุกวันนี้ไม่ใช่แค่หมูเท่านั้นที่แพงขึ้น ราคาอาหารอื่นๆ ที่ทดแทนกันได้ อย่าง “เนื้อไก่” หรือวัตถุดิบอื่นๆ ก็ทยอยขึ้นตาม เพราะคนหันมาบริโภคขึ้น แถมสินค้าบางอย่างก็ฉวยโอกาสแอบขึ้นราคาแบบ “มั่วนิ่ม” ตอนนี้ชาวบ้านกำลังเดือดร้อนเรื่อง “น้ำมันปาล์มขาดแคลน” ราคาก็ขยับขึ้นใกล้ๆขวดละ 70 บาทแล้ว บางห้างบางสาขาก็ไม่มีสินค้าบนเชลฟ์ ขณะที่ซูเปอร์มาร์เก็ตบางแห่ง ราคาขยับขึ้นไปถึง 62-63 บาท/ขวด ส่วนร้านค้าปลีกที่เป็นโชห่วย ราคาอยู่ที่ 65-67 บาท และยิ่งต่างจังหวัดที่ไกลๆ ออกไปราคาก็จะสูงกว่านี้

ในทางกลับกัน ทุกวันนี้ ประชาชนต้องประสบปัญหาเรื่องรายได้มาอย่างยาวนาน นอกจากเงินในกระเป๋าจะไม่เพิ่มแล้ว หลายคนรายได้ยังหดหาย เพราะตกงานไม่มีงานทำ แรงงานจากชนบทที่เข้ามาทำมาหากินในกรุงเทพฯ ต่างเริ่มพากันทยอยขนย้ายครอบครัวกลับภูมิลำเนาเดิม แม้ไม่มีงานทำ ก็ยังมีข้าวกิน มีที่อยู่ ดีกว่าอยู่กรุงเทพฯ ค่าครองชีพก็แพง

ขณะที่เศรษฐกิจของประเทศ ได้รับผลกระทบจากวิกฤตโควิดต่อเนื่อง ช่วง 2 ปีที่ผ่าน GDP หายไปถึงประมาณ 2.5 ล้านล้านบาท ธุรกิจจำนวนมาก หากไม่เจ๊งไปก่อน ก็ต้องเข้าสู่โครงการปรับโครงสร้างหนี้กับสถาบันการเงิน หนี้ครัวเรือนพุ่งสูงแตะเกือบ 90% ของจีดีพี เศรษฐกิจไทยตอนนี้อยู่ในสภาพ “เงินเฟ้อและเงินฝืด” ประดังเข้ามาพร้อมๆ กัน ความเป็นอยู่ของประชาชนยากลำบาก เศรษฐกิจทั้งระบบกำลังจะพังพินาศ และยากจะฟื้น ปี 2565 จึงเป็นปีที่ยากลำบากของคนไทยอีกปี เพราะต้องมาเจอกับเศรษฐกิจฟื้นตัวช้า ข้าวของราคาแพง ค่าครองชีพสูงขึ้น

อย่าลืมว่า เศรษฐกิจกับการเมืองเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันโดยตรง เหมือนคู่แฝด ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ การฟื้นฟูเศรษฐกิจจึงเป็นปัญหาเร่งด่วนที่รัฐบาลและฝ่ายค้าน ต้องร่วมไม้ร่วมมือกันกอบกู้ให้พ้นวิกฤติให้ได้  แต่ภาพที่เห็นคือ รัฐบาลแทบประคองตัวไม่รอดจากปัญหาเศรษฐกิจที่รุมเร้า ในการประชุมส.ส. ต้องลุ้นว่าองค์ประชุมจะครบหรือไม่ ขณะที่พรรคร่วมรัฐบาล นอกจากทำงานไม่เป็น วันๆ ก็มัวแต่เล่นเกมการเมือง แทบไม่ต้องทำอะไร

หากการเมืองไม่นิ่ง-เสถียรภาพรัฐบาลไม่มั่นคง ประชาชนทั่วไปก็จะไม่เชื่อมั่น เมื่อไม่เชื่อมั่น ก็จะไม่กล้าออกมาจับจ่ายใช้สอย นักลงทุนไม่กล้าลงทุน สุดท้ายเศรษฐกิจก็จะไม่พ้นปากเหวเสียที

…………………….

คอลัมน์ : เศรษฐศาสตร์ข้างทาง

โดย “ทวี มีเงิน”

สนับสนุนคอลัมน์ โดย :   บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน)

#ยิ่งใกล้คุณยิ่งต้องดี #GCเคมีที่เข้าถึงทุกความสุข #GCChemistryforBetterLiving

- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_imgspot_img

Featured

- Advertisment -spot_img
Advertismentspot_imgspot_img
spot_imgspot_img