วันศุกร์, พฤศจิกายน 22, 2024
spot_img
หน้าแรกCOLUMNISTSคดี“ทิม-พิธา”ถือหุ้นสื่อ ITV“เดิมพันสูง” หากแพ้“พรรคก้าวไกล”สะเทือนหนัก!!
- Advertisment -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

คดี“ทิม-พิธา”ถือหุ้นสื่อ ITV“เดิมพันสูง” หากแพ้“พรรคก้าวไกล”สะเทือนหนัก!!

การทำงานของ “คณะกรรมการการเลือกตั้ง” (กกต.) ในยามนี้ นอกจากเรื่องการรอประกาศรับรองผลการเลือกตั้งส.ส. ให้มีส.ส.ไม่น้อยกว่าร้อยละ 95 หรือ 475 คน เพื่อให้เปิดประชุมสภาฯนัดแรก ในการเลือกประธานสภาฯและตามด้วยนายกรัฐมนตรีแล้ว

อีกเรื่องสำคัญที่หลายคนติดตามกันอยู่ก็คือ การพิจารณาคำร้องเรื่อง “คดีถือครองหุ้นสื่อ” ของ “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” หัวหน้าพรรคก้าวไกล ที่ตอนนี้ถือเป็นเต็งหนึ่ง “ว่าที่นายกรัฐมนตรี” เพราะได้เสียงสนับสนุน 312 เสียง จาก 8 พรรคการเมืองร่วมจัดตั้งรัฐบาล

หลังสัปดาห์ที่ผ่านมา คณะทำงานของ กกต.ที่พิจารณาเรื่องดังกล่าว เรียกผู้ร้องทั้ง “เรืองไกร ลีกิจวัฒนะ-ศรีสุวรรณ จรรยา” ไปให้ข้อมูลเพิ่มเติม ที่แสดงว่า กกต.เริ่มขยับในการตรวจสอบเรื่อง “หุ้นพิธา” แล้ว

มีการมองข้ามช็อตไปแล้วว่า ยังไง กกต.คงส่งคำร้องคดีพิธา ไปให้ “ศาลรัฐธรรมนูญ” วินิจฉัยแน่นอน เพราะที่ผ่านมา กกต.ชุดปัจจุบัน พอมีคนร้องเรื่องผู้สมัครส.ส.ถือหุ้นสื่อ กกต.ก็ใช้วิธีส่งไปหมด

ไม่ใช่แค่กรณีหุ้นสื่อของ “ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ แต่สภาฯชุดที่แล้ว คำร้องคดี  64 ส.ส.ถือหุ้นสื่อ ที่แยกเป็น 32 ส.ส.รัฐบาล และ 32 ส.ส.ฝ่ายค้าน กกต.ก็ส่งไปให้ศาลวินิจฉัยเช่นกัน

ธัญญ์วาริน สุขะพิสิษฐ์

โดยรอบดังกล่าว มีทั้งโดนสั่งให้พ้นจากตำแหน่งหนึ่งคนคือ “ธัญญ์วาริน สุขะพิสิษฐ์” อดีตส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล (อดีตพรรคอนาคตใหม่) เพราะถือหุ้นบริษัท แอมฟายฯ และบริษัท เฮดอัพฯ ในวันสมัคร ส.ส.

เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงคาดหมายกันว่า กกต.จะส่งเรื่องไปให้ศาลรัฐธรรมนูญชี้ขาดแน่นอน!!!

แต่จุดสำคัญคือ หลักการวินิจฉัยคดีของศาลรัฐธรรมนูญ “จะไม่วินิจฉัยนอกเหนือคำร้อง” ดังนั้น ชะตาชีวิตทางการเมืองของ “พิธา” และ “พรรคก้าวไกล” จึงอยู่ที่ตัวคำร้องที่ กกต.จะส่งไปให้ศาลรัฐธรรมนูญ ว่าจะเขียนในคำร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยประเด็นใดบ้าง

แน่นอนว่าประเด็นเรื่อง “พิธา” ต้องพ้นสภาพจากการเป็นส.ส.หรือไม่ เนื่องจากถือหุ้นสื่อ ก่อนลงเลือกตั้ง ซึ่งคำร้องของ “เรืองไกร” ชี้ว่า “พิธา” ถือหุ้นไอทีวี 42,000 หุ้น ก่อนเลือกตั้งปี 2562 เสียอีก ไม่ใช่แค่ครั้งล่าสุด 14 พ.ค. 2566

ประเด็นนี้ กกต.คงเขียนไว้ในคำร้องแน่นอน เพราะเป็นเบสิคอยู่แล้ว และหาก “พิธา” ไม่รอด ถูกศาลชี้ว่า ถือหุ้นสื่อก่อนลงเลือกตั้ง อันเป็นการขัดคุณสมบัติการลงสมัครรับเลือกตั้งตามมาตรา 98(3) ก็จะทำให้ต้องพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีไปด้วย ตามมาตรา มาตรา 159 ที่เป็นบทบัญญัติเรื่อง นายกรัฐมนตรีต้องไม่มีคุณสมบัติต้องห้ามตามมาตรา 160 และในมาตรา 160 ก็เขียนไว้ว่า ต้องไม่มีคุณสมบัติต้องห้ามตามมาตรา 98

ซึ่งประเด็นนี้ แม้ต่อให้ กกต.ไม่เขียนไว้ในคำร้อง แต่หากเกิดว่า “พิธา” ได้รับเลือกจากที่ประชุมร่วมรัฐสภา โหวตให้เป็นนายกรัฐมนตรี แบบพลิกความคาดหมาย โดยเป็นนายกฯไปได้สักระยะ แล้วศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยคำร้องคดีดังกล่าวเสร็จสิ้น หลัง “พิธา” เป็นนายกฯไปแล้ว ก็คาดกันว่า ศาลก็อาจจะเขียนประเด็นนี้ไว้ในคำวินิจฉัยกลาง เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาการตีความขึ้นในอนาคต

แต่ถึงศาลรัฐธรรมนูญไม่วินิจฉัยหรือไม่เขียนไว้ โดยวินิจฉัยแค่ว่า “พิธา” หลุดจากส.ส. ยังไงแม้ “พิธา” ไม่ใช่นักกฎหมาย แต่ตัว “พิธา” และทีมทนายความ ฝ่ายกฎหมายพรรคก้าวไกล ก็ย่อมอาจมาตรา 159 ได้เข้าใจว่า เมื่อ “พิธา” ขัดคุณสมบัติมาตรา 98 ก็ต้องถือว่า มีคุณสมบัติต้องห้ามการเป็นรัฐมนตรี ก็ทำให้ต้องพ้นจากการเป็นนายกรัฐมนตรี ตัว “พิธา-ก้าวไกล” คงไม่ตะแบงอยู่แล้ว

มีการประเมินกันว่า คำร้องคดีนี้ กว่าศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยเสร็จหลังรับคำร้อง คาดว่าจะใช้เวลาหลายเดือนพอสมควร อย่างต่ำๆ ก็น่าจะสามเดือน อันนี้คือกรณีเร็วสุดแล้ว

ดังนั้น หาก กกต.รับรองให้ “พิธา” เป็นส.ส.บัญชีรายชื่อ และมีการเปิดสมัยประชุมสภาฯ ศาลก็อาจสั่งให้ “พิธา” หยุดปฏิบัติหน้าที่การเป็นส.ส.ก็ได้ หรืออาจไม่สั่งก็ได้เช่นกัน ไม่จำเป็นต้องเหมือนกรณีของ “ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ในคดีหุ้นสื่อวีลัคมีเดีย เพราะอย่างกรณีหุ้นสื่อ 64 ส.ส. ศาลก็ไม่ได้สั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่แต่อย่างใด

แต่หากศาลสั่งให้ “พิธา” หยุดปฏิบัติหน้าที่ และ 8 พรรคร่วมจัดตั้งรัฐบาล ยังให้เสนอชื่อ “พิธา” เป็นนายกฯ เพราะนายกฯไม่จำเป็นต้องมาจากส.ส. ชื่อของ “พิธา” ก็จะถูกส่งให้สมาชิกรัฐสภา ทั้งส.ส.และสว.โหวต ซึ่งหาก “พิธา” โดนหยุดปฏิบัติหน้าที่ มันก็จะยิ่งสร้างความชอบธรรมในการที่สว.จะไม่โหวตให้เป็นนายกฯ โดยอ้างว่าเกรงจะเกิดปัญหา แต่ก็ไม่แน่ สว.บางส่วน อาจมองว่า “พิธา” ไม่รอดอยู่แล้ว ก็จะโหวตให้ไปเลย สว.จะได้ไม่โดนกระแส “ด้อมส้ม” ถล่มสว.รายบุคคล ว่าไม่สนใจ 14 ล้านเสียงที่เลือก “ก้าวไกล”

พิธา ลิ้มเจริญรัตน์

โดยหาก “พิธา” ได้เสียงไม่ถึง 376 ก็จบ ก็ไม่ได้เป็นนายกฯ ฝ่าย “เพื่อไทย” ก็จะพลิกกลับมาเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลแทน

แต่ถ้า “พิธา” เสียงโหวตเกิน 376 ก็เป็นนายกฯ แล้วก็ไปลุ้นคดีในศาลรัฐธรรมนูญต่อไป แบบหายใจไม่ทั่วท้อง!!

หากศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่า การถือหุ้นสื่อไอทีวีดังกล่าว ไม่เข้าข่ายขัดรัฐธรรมนูญในเรื่องการลงสมัครส.ส. โดยศาลยกคำร้อง “พิธา” ก็จะเป็นนายกฯต่อไปควบกับการเป็นส.ส.

แต่หากศาลชี้ว่า “พิธา” ลงสมัครส.ส.โดยถือหุ้นสื่อ ก็จะทำให้หลุดจากส.ส.และหลุดจากนายกฯ

ถึงตอนนั้น “เพื่อไทย” มีโอกาสสูงจะพลิกกลับมาเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลแทน ในฐานะพรรคอันดับสอง

ที่ต้องดูว่า “เพื่อไทย” จะเอา “ก้าวไกล” ไว้เป็นพรรคร่วมรัฐบาลต่อหรือไม่ หรือจะไปดึงพรรคอื่นมาแทน เช่น พลังประชารัฐ ภูมิใจไทย เป็นต้น

และหาก กกต.ส่งคำร้องให้ศาลวินิจฉัยด้วยว่า การที่ “พิธา” ในฐานะหัวหน้าพรรคก้าวไกลแต่ถือหุ้นสื่อ อันเป็นการขัดต่อข้อบังคับของพรรคก้าวไกล แล้วไปเซ็นรับรองให้ ผู้สมัครส.ส.ของพรรคลงเลือกตั้งทั้งระบบเขตและปาร์ตี้ลิสต์ จนได้ส.ส.เขต 112 คนและปาร์ตี้ลิสต์ 39 คน รวม 151 คน ต้องเป็นโมฆะหรือไม่

หาก ทาง กกต.ส่งประเด็นนี้ไปด้วย ศาลก็ต้องวินิจฉัยเช่นกัน

ที่แนวทางก็มีสองแนวทางคือ ศาลยกคำร้อง ด้วยเหตุผลต่างๆ เช่น ตามกฎหมายพรรคการเมือง ไม่ได้บัญญัติว่า หัวหน้าพรรคการเมือง ห้ามถือหุ้นสื่อ ดังนั้น การที่ “พิธา” ถือหุ้นสื่อแม้จะขัดต่อข้อบังคับพรรคก้าวไกล แต่ไม่ขัดพรบ.พรรคการเมือง ที่มีสถานะสูงกว่า

หรืออาจเห็นอีกแบบคือ “พิธา” ทำผิดข้อบังคับพรรค ที่เป็นการออกตามพ.ร.บ.พรรคการเมืองฯ ดังนั้นที่ไปเซ็นรับรองให้ผู้สมัครลงเลือกตั้ง ทั้งหมดจึงเป็นโมฆะ ต้องจัดให้มีการเลือกตั้งซ่อมในเขตที่ผู้สมัครก้าวไกลชนะเลือกตั้ง และคะแนนปาร์ตี้ลิสต์ของพรรคก้าวไกลทั้งหมด 14 ล้านกว่าเสียง ต้องเป็นโมฆะ จนทำให้ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ก้าวไกลที่ได้มา 39 ที่นั่ง กลายเป็นศูนย์ไป แล้วไปคำนวณหาที่นั่งส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ของแต่ละพรรคการเมืองกันใหม่ 

ถ้าออกมาแบบนี้ ก็จะทำให้มีโอกาสสูงที่ “ก้าวไกล” เสียงส.ส.ในสภาฯ จะหายไปหลายสิบเสียง จนอาจถูกผลักให้ไปเป็นฝ่ายค้านได้

กระนั้น มีการประเมินกันว่า แค่ศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้ “พิธา” หลุดจากส.ส.และทำให้หลุดจากนายกฯ ก็ถือว่าหนักหนาแล้วสำหรับ “พิธา” และ “ก้าวไกล”

ดังนั้น หากถึงขั้น ล้มกระดานก้าวไกล โดยทำให้ คะแนนปาร์ตี้ลิสต์ก้าวไกลเป็นศูนย์ และต้องเลือกตั้งซ่อมในเขตที่ก้าวไกลชนะเลือกตั้งซ่อม 112 เขต มันน่าจะแรงเกินไป ถ้าผลออกมาแบบนี้ อาจสร้างความไม่พอใจให้กองเชียร์ก้าวไกล จนนำไปสู่ความวุ่นวายทางการเมือง มีม็อบเกิดขึ้น เพื่อประท้วงคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญ

จึงมีการมองกันว่า “ศาลรัฐธรรมนูญ” ไม่น่าจะใช้ยาแรงกับ “ก้าวไกล” ขนาดนั้น แรงสุดน่าจะออกมาแค่ ให้หลุดจากส.ส.และนายกฯ แต่ของแบบนี้ มันก็ไม่แน่เช่นกัน อะไรก็เกิดขึ้นได้!  

……………………….

คอลัมน์ : ส่องป้อมค่ายการเมือง   

โดย ...พระจันทร์เสี้ยว

- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_imgspot_img

Featured

- Advertisment -spot_img
Advertismentspot_imgspot_img
spot_imgspot_img