“พรรคพลังประชารัฐ” ยังคงเป็นพรรคการเมือง ที่ไม่หลุดเฟรมการถูกจับจ้องของแวดวงการเมือง โดยเฉพาะในช่วงนี้ ที่อยู่ระหว่างการจัดตั้งรัฐบาลของ “พรรคเพื่อไทย”
ทั้งกระแสข่าว ที่ถูกมองกันว่า ไม่แน่ “บิ๊กป้อม-พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ” หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ อาจส้มหล่นการเมือง ได้เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 หากการโหวตเลือกนายกฯยื้อไปเรื่อยๆ ไม่จบเสียที
แม้ดูแล้ว ความเป็นไปได้ที่ “บิ๊กป้อม” จะได้เป็นนายกฯจะมีน้อยกว่า “เสี่ยหนู-อนุทิน ชาญวีรกูล” หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย เพราะด้วยความที่มีส.ส.แค่ 40 คน เป็นพรรคที่มีส.ส.เป็นอันดับ 4 ทำให้การต่อรองทางการเมืองมีน้อย และถึงต่อให้ได้เป็นนายกฯ เป็นพรรคแกนนำรัฐบาล ก็ต้องเป็นนายกฯที่ถูกพรรคร่วมรัฐบาลที่มีส.ส.มากกว่า “ขี่คอ” ทุกวัน จนอาจกลายเป็นแค่ “นายกฯหุ่นเชิด” ข้อจำกัดดังกล่าว “บิ๊กป้อม” ก็รู้ดี ถึงจุดอ่อนของตัวเองและพลังประชารัฐ
ที่สำคัญ ยังต้องเจอแรงต้าน “พรรคลุง-สืบทอดอำนาจ” จากหลายกลุ่มการเมือง ที่ต้องการ “ปิดสวิทช์ 3 ป.” ทั้งจากพรรคการเมืองและม็อบต่างๆ ที่พร้อมจะออกมาแน่นอน หาก “บิ๊กป้อม” เป็นนายกฯ ทำให้ โอกาสของ “บิ๊กป้อม” และ “พลังประชารัฐ” ยังค่อนข้างมีน้อยแต่ก็ไม่แน่ ถ้าการเมืองถึงทางตัน โอกาสพลิกก็ยังมี แต่ก็น่าจะน้อยกว่า “อนุทิน-ภูมิใจไทย”
แต่ที่น่าสนใจสำหรับพลังประชารัฐ ก็คือ ผลการประชุมใหญ่ของพรรคเมื่อวันเสาร์ที่ 29 ก.ค.ที่ผ่านมา ที่มีการเลือกกรรมการบริหารพรรค และแต่งตั้งตำแหน่งสำคัญต่างๆ ในพลังประชารัฐ หลัง “บิ๊กป้อม” ลาออกจากหัวหน้าพรรค ก่อนการประชุม ทำให้กรรมการบริหารพรรคสิ้นสภาพไปด้วยกันทั้งหมด จึงต้องเลือกหัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารพรรคกันใหม่
ซึ่งเก้าอี้หัวหน้าพรรค ยังคงเป็น “พล.อ.ประวิตร” แบบไม่มีใครคิดจะแย่งชิง แต่ที่ฮือฮากันก็คือ การกลับเข้ามาเป็น “เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ” อีกครั้งของ “ธรรมนัส พรหมเผ่า” อดีตรมช.เกษตรฯและอดีตเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ ที่ขึ้นมาแทน “เสี่ยสันติ พร้อมพัฒน์” รมช.คลัง เจ้าของตึกที่ทำการพรรคพลังประชารัฐ ย่านถนนรัชดาภิเษกฯ
นั่นหมายถึงว่า จะทำให้บทบาทในพรรคและบทบาทการเมืองของ “ธรรมนัส” จะกลับมามีความสำคัญอีกครั้งในฐานะ “มือขวาตัวจริงบิ๊กป้อม” ในการทำพรรคพลังประชารัฐต่อไป
แต่งานสำคัญของ “ธรรมนัส” ตอนนี้ก็คือ เรื่องการเป็น “ดีลเมกเกอร์ทางการเมือง” ให้กับ “บิ๊กป้อม-พลังประชารัฐ” ในการทำให้ต้องเป็นพรรคร่วมรัฐบาลให้ได้
ที่พบว่า “ธรรมนัส” ก็กำลังพยายามอยู่ ในการหาช่องทางพา “พลังประชารัฐ” เข้าร่วมรัฐบาลกับ “เพื่อไทย” ให้ได้ ผ่านความสัมพันธ์อันดีของตัวเองกับ “ทักษิณ ชินวัตร” ในอดีต เพื่อทำให้ “พลังประชารัฐ” ไม่กลายเป็นฝ่ายค้าน ที่ไม่ใช่งานถนัด
นี่คืองานสำคัญที่รอพิสูจน์ฝีมือของ “ธรรมนัส” ว่าจะทำได้หรือไม่ หลังมีข่าวลือออกมาหลายระลอกว่า “ธรรมนัส” มีการเจรจากับ “แกนนำเพื่อไทย” และ “ทักษิณ” ตั้งแต่ก่อนการเลือกตั้งแล้ว และยิ่งเมื่อ “ก้าวไกล” ตั้งรัฐบาลไม่สำเร็จแบบนี้ ก็ยิ่งทำให้โอกาสที่ “พลังประชารัฐ” จะได้เกาะขบวน “เพื่อไทย” ร่วมเป็นพรรครัฐบาลด้วยกัน ก็ยิ่งมีโอกาสมากขึ้น
แต่หาก “เพื่อไทย” สุดท้ายตั้งรัฐบาลไม่ได้จริงๆ แล้วเปลี่ยนมือมาเป็น “ภูมิใจไทย” แบบนี้ ก็ยิ่งการันตีได้ว่า “พลังประชารัฐ” ได้เป็นพรรคร่วมรัฐบาล และ “ธรรมนัส” ก็มีโอกาสได้กลับมาเป็นรัฐมนตรีอีกรอบ
อย่างไรก็ตาม การจัดทัพของ “พลังประชารัฐ” ครั้งล่าสุด ชื่อที่หลายคนฮือฮาค่อนข้างมาก หาใช่ “ธรรมนัส” แต่กลับเป็น “บิ๊กป๊อด-พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ” อดีตผบ.ตร. น้องชายแท้ๆ ของบิ๊กป้อม ที่เข้ารับตำแหน่งทางการเมืองในพรรคการเมืองเป็นครั้งแรกในชีวิต นั่นก็คือ “ประธานที่ปรึกษาพรรคพลังประชารัฐ” ซึ่งตำแหน่งนี้ คนสำคัญๆ ใน “พลังประชารัฐ” ก็เคยเป็นมาแล้ว รวมถึง “พล.อ.ประวิตร” พี่ชาย ก็เคยเป็นมาก่อน ที่จะขึ้นมาเป็นหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐเต็มตัวในเวลานี้
สิ่งนี้แสดงให้เห็นชัดเจนว่า “พล.อ.ประวิตร” ที่กำลังโรยราจากวัยที่มากขึ้นเรื่อยๆ กำลังเตรียมส่งไม้ต่อทางการเมืองให้กับน้องชาย “พล.ต.อ.พัชรวาท” ให้เข้ามาทำงานการเมืองเต็มตัว หลังที่ผ่านมา “พล.ต.อ.พัชรวาท” อยู่หลังฉาก พรรคพลังประชารัฐ และป่ารอยต่อฯมาร่วมสิบปี นับแต่ “พล.อ.ประวิตร” กลับมามีอำนาจการเมืองอีกครั้ง หลังรัฐประหารคสช.เมื่อปี 2557
โดยบทบาทการเมืองของ “พล.ต.อ.พัชรวาท” ที่ผ่านมาร่วมสิบปี ร่ำลือกันว่า มีบทบาทสูงมาก เรียกได้ว่าตำแหน่งสำคัญๆ ในช่วงคสช.หลายตำแหน่ง ผ่านการสกรีนและเห็นชอบจาก “บิ๊กป๊อด” แห่งบ้านซอยลาดพร้าวมาเกือบทั้งสิ้น โดยเฉพาะการจัดทัพ “โผแต่งตั้งโยกย้ายบิ๊กตำรวจ” ตั้งแต่ระดับพล.ต.อ.จนถึงพ.ต.อ.ในพื้นที่สำคัญๆ ต้องผ่านการเห็นชอบจากพล.ต.อ.พัชรวาท ก่อนทุกตำแหน่ง ในช่วงที่ “บิ๊กป้อม” คุมสำนักงานตำรวจแห่งชาติในยุครัฐบาลคสช.ร่วมห้าปี
จนทำให้ช่วงนั้น “พล.ต.อ.พัชรวาท” มีบทบาทสูงมากในวงการสีกากี รวมถึงวงการอื่นๆ เช่น การตั้ง สมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ-สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ-สมาชิกวุฒิสภาชุดปัจจุบัน ที่อยู่ในโควตา “บิ๊กป้อม-ป่ารอยต่อฯ” ก็ล้วนผ่านการสกรีนจาก “พล.ต.อ.พัชรวาท” ทั้งสิ้น เช่นเดียวกับช่วง “บิ๊กป้อม” เป็นรองนายกฯ-หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ตอนยุครัฐบาลบิ๊กตู่ ที่แม้ “พล.อ.ประวิตร” จะถูกลดบทบาทลง เป็นรองนายกฯที่ไม่ได้คุมตำรวจ แต่ตำแหน่งสำคัญๆ ในรัฐบาลและในพลังประชารัฐ ข่าวบอกว่า ก็ยังต้องผ่านการไฟเขียวจาก “พล.ต.อ.พัชรวาท” เช่นกัน
ทั้งหมด ทำให้ “พล.ต.อ.พัชรวาท” จึงไม่ต่างอะไรกับ “เงาของบิ๊กป้อม” ที่ในการตัดสินใจการเมืองครั้งสำคัญๆ ตลอดจนการวางแผนทางการเมืองของ “บิ๊กป้อม-พลังประชารัฐ” ตัว “บิ๊กป๊อด” มักจะต้องมีส่วนร่วมด้วยทุกครั้ง
การที่รอบนี้ “พล.ต.อ.พัชรวาท” เปิดตัวเข้าสู่การเมือง ด้วยการเป็น “ประธานที่ปรึกษาพรรคพลังประชารัฐ” จึงน่าสนใจอย่างยิ่ง!!!
หลังก่อนหน้านี้ก็มีกระแสข่าวว่า “บิ๊กป้อม” ต้องการดันน้องชายคนนี้ให้ได้เป็นรัฐมนตรีในการตั้งรัฐบาลรอบนี้ให้ได้ จนมีข่าวว่า จะดันให้เป็น “รมว.มหาดไทย-มท.1” ในการเจรจาร่วมตั้งรัฐบาลกับ “เพื่อไทย” โดยแลกกับการที่ “บิ๊กป้อม” จะไปดีลกับสว.มาโหวตให้คนของ “เพื่อไทย” ได้เป็นนายกฯ ที่ข่าวว่า “บิ๊กป้อม” การันตีสามารถดีลสว.ได้ไม่ต่ำกว่า 50-60 คนอย่างต่ำ ซึ่งก็เพียงพอแล้ว ในการทำให้เสียงถึง 375 เสียง ภายใต้สูตรตั้งรัฐบาลคือ กลุ่มพรรคการเมืองขั้วรัฐบาลปัจจุบัน ตั้งรัฐบาลร่วมกับ “เพื่อไทย”
กระนั้น ข่าวบอกว่า เงื่อนไขดังกล่าวจากป่ารอยต่อฯ “ทักษิณ-เพื่อไทย” ยังขอแค่รับฟัง แต่ไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธแต่อย่างใด
ทว่าประเมินแล้ว เงื่อนไขที่ยื่นมา ทาง “เพื่อไทย” น่าจะไม่ยอมง่ายๆ ที่จะให้เก้าอี้ “รมว.มหาดไทย” กับพรรคอื่น แต่ถึงต่อให้ “พลังประชารัฐ” ไม่ได้โควตา “รมว.มหาดไทย” แต่หากตั้งรัฐบาลกันได้สำเร็จ เชื่อว่า “ทักษิณ” คงให้เก้าอี้ ระดับเกรดเอกับ “พลังประชารัฐ” เพื่อให้ “บิ๊กป้อม” ดัน “น้องชาย” ขึ้นเป็นรัฐมนตรีครั้งแรก ในกระทรวงที่เป็นหน้าเป็นตาของตระกูล “วงษ์สุวรรณ” ได้แน่นอน
ความเคลื่อนไหวต่างๆ ของ “บิ๊กป้อม-พลังประชารัฐ” ในช่วงต่อจากนี้ จึงเป็นอีกหนึ่งพรรคการเมืองที่ต้องติดตามกันให้ดี เพราะแม้ไม่ใช่พรรคใหญ่ แต่ก็เป็นพรรคตัวแปรสำคัญในการจัดตั้งรัฐบาล
…………………………………………..
คอลัมน์ : ส่องป้อมค่ายการเมือง
โดย “พระจันทร์เสี้ยว”