ความชัดเจนเรื่องการรวมเสียงเพื่อจัดตั้งรัฐบาลของ “พรรคเพื่อไทย” พบว่า จนถึงสุดสัปดาห์ ชัดเจนแล้วว่า น่าจะได้เสียงส.ส.โหวตให้ “เศรษฐา ทวีสิน” เป็นนายกฯ ประมาณ 315 เสียง
หลังข่าวหลายกระแสยืนยันว่า “พรรค 2 ลุง” คือ “พลังประชารัฐ” และ “รวมไทยสร้างชาติ” จะเข้าร่วมการจัดตั้งรัฐบาลทำให้ เพื่อไทย จะได้เสียงส.ส.จากพลังประชารัฐ 40 เสียง และรวมไทยสร้างชาติ 36 เสียง ได้เพิ่มมาอีก 76 เสียง
เท่ากับขาดอีกแค่ 60 เสียง “เศรษฐา” ก็มีโอกาสลุ้นเก้าอี้นายกฯคนที่ 30 แล้ว ซึ่งการที่ เพื่อไทย ได้ พลังประชารัฐ มาช่วยเติมเต็มให้ ก็เหมือนกับได้เหล้าพ่วงเบียร์ เพราะจะได้เสียงสมาชิกวุฒิสภา จาก สว.สายป่ารอยต่อฯ เข้ามาช่วยอีกขั้นต่ำก็น่าจะการันตีได้ว่า ไม่น้อยกว่า 30-40 เสียง
เว้นแต่ สว.สายป่ารอยต่อฯ ขอปลดแอกตัวเอง ไม่ฟังสัญญาจากป่ารอยต่อฯ โดยไม่ยอมโหวตให้ “เศรษฐา” เพราะเห็นว่ายังมีชนักติดหลัง เรื่องข้อกล่าวหารู้เรื่องบริษัทแสนสิริฯ ที่เคยเป็นซีอีโอ เลี่ยงภาษีหลายร้อยล้านบาท ตามการแฉของ “ชูวิทย์ กมลวิศิษฐ์” ที่จะนัดแถลงข่าวอีกรอบครั้งใหญ่สัปดาห์นี้ ถ้าแบบนี้ ก็อาจทำให้สว.สายป่ารอยต่อฯ เสียงแตกได้ จนมาไม่ครบได้
กระนั้น การที่ เพื่อไทย ดึง รวมไทยสร้างชาติ มาร่วมจัดตั้งรัฐบาลด้วย มันก็ทำให้…อย่างน้อย สว.หลายสิบคน สายพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็อาจยอมโหวตให้ “เศรษฐา” ก็ได้ เพราะสว.คงมองว่า การที่ “พลังประชารัฐ-รวมไทยสร้างชาติ” ยอมมาร่วมจัดตั้งรัฐบาลกับเพื่อไทย คงมั่นใจแล้วว่า “ทักษิณ-เพื่อไทย” จะไม่หักหลัง พรรคต่างๆ และสว. ด้วยการไปดึง “พรรคก้าวไกล” มาร่วมรัฐบาลภายหลัง ผ่านการปรับครม.แล้วเขี่ย “ภูมิใจไทย-ชาติไทยพัฒนา-พลังประชารัฐ-รวมไทยสร้างชาติ” ออกจากรัฐบาล
ด้วยหากแกนนำพรรคต่างๆ ข้างต้น ไม่เชื่อมั่นในตัวพรรคเพื่อไทย ว่าจะไม่โดนหักหลัง ก็คงไม่ไปร่วมรัฐบาลด้วย ดังนั้น สว.หลายคนก็คงมองในจุดนี้
ผนวกกับ ที่ผ่านมา สว.เกือบทั้งหมด ที่พร้อมใจกันสกัด “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” และ “ก้าวไกล” ไม่ให้เป็นนายกฯ ก็ด้วยเหตุผลเรื่องนโยบายพรรคก้าวไกลในการแก้ 112 แต่เมื่อตอนนี้ ไม่มีก้าวไกลอยู่ในการจัดตั้งรัฐบาลแล้ว หากสว.จะไม่โหวตให้ เพื่อไทย ก็ต้องมีเหตุผลที่มีน้ำหนักเพียงพอ
เพราะต้องยอมรับว่า ปมเรื่องเลี่ยงภาษีที่ “ชูวิทย์” ออกมาแฉ ยังไม่สามารถสร้างแรงสั่นสะเทือนอะไรมากได้ ไม่เกิดกระแสการต่อต้านไม่ยอมรับ “เศรษฐา” ในวงกว้าง ซึ่ง “ชูวิทย์” ก็คงคาดไม่ถึงเช่นกัน เพราะนึกว่า จะทำให้เกิดแรงต่อต้านเยอะ
ซึ่งสาเหตุอาจเพราะประเด็นที่ “ชูวิทย์” แถลง ค่อนข้างซับซ้อนเข้าใจยาก สำหรับประชาชน-ชาวบ้านทั่วไป ทำให้ไม่เกิดแรงกระเพื่อมเท่าที่ควร จน “ชูวิทย์” ต้องประกาศ จะนัดแถลงเป็น EP.2 ต่อไป โดยหาก “ชูวิทย์” ยังไม่มีหมัดเด็ดกว่านี้ ก็คงทำให้ แรงต้าน “เศรษฐา” น่าจะไม่กระหึ่มมากนัก
ขณะที่ฝ่ายเพื่อไทยเอง ถึงตอนนี้ ดูจะมั่นใจมากกว่า การที่จะตั้งรัฐบาล โดยไม่มีพรรคก้าวไกล และดึง “พรรคลุง” มาร่วมรัฐบาล แรงต้านแม้จะมี แต่ไม่ได้มากอย่างที่เคยเกรงไว้ เพราะจะพบว่า ม็อบต่างๆ ที่ออกมา ก็มีแค่ “ม็อบทะลุวัง” ที่ตอนนี้ ภาพลักษณ์ติดลบอย่างหนัก หลังแสดงพฤติกรรม ก้าวร้าว-รุนแรง ในวันที่ไปชุมนุมหน้าที่ทำการพรรคเพื่อไทย วันที่ภูมิใจไทย ไปแถลงข่าวตั้งรัฐบาลกับเพื่อไทย
รวมถึง ม็อบทะลุวังเป็นม็อบการเมืองที่คนก็รู้กันดีว่า เชื่อมโยงกับพรรคก้าวไกล และมีมวลชนไม่ได้มาก แค่หลักสิบหลักร้อย ไม่ได้มีแนวร่วมมากมายอะไร
อีกทั้ง ตอนนี้ ก็จะพบว่า กระแสประชาชนที่อยากให้มีการจัดตั้งรัฐบาลสำเร็จโดยเร็ว มีสูงมาก หลังผ่านมาสามเดือนนับแต่เลือกตั้ง 14 พ.ค. ยังไม่มีรัฐบาลเสียที จนทำให้หลายอย่างชะงักงัน จนมีเสียงเชียร์ให้เพื่อไทย รีบๆ ตั้งรัฐบาลได้แล้ว จะเอายังไง ก็เอาไปเลย ไม่ต้องกลัวอะไร
และถึงตอนนี้ หลายคน แม้แต่กองเชียร์เพื่อไทย ที่เคยไม่เห็นด้วยกับการจะตั้งรัฐบาลโดยมี “พรรค 2 ลุง” ร่วมด้วย ก็เริ่มเข้าใจมากขึ้นแล้วว่า หากไม่มี “พรรค 2 ลุง” มาช่วยตั้งรัฐบาล ก็จะทำให้ไม่ได้เสียงถึง 375 เสียง และหากยังปล่อยไว้แบบนี้เรื่อยๆ เพื่อไทยก็จะเริ่มหมดโอกาส ในการเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลไปเรื่อยๆ จนสุดท้าย จะกลายเป็นภูมิใจไทยหรือพลังประชารัฐ ที่ขึ้นมาเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลแทน ที่เท่ากับปล่อยโอกาสให้หลุดมือไปง่ายๆ เพียงเพราะ “ติดหล่ม” อยู่กับคำว่า “ต้องไม่มีพรรคลุง”
ทำให้ถึงตอนนี้จะพบว่า กองเชียร์เพื่อไทยก็เริ่มเข้าใจจุดนี้แล้ว อีกทั้งยิ่งถ้าเพื่อไทยได้เป็นรัฐบาล แล้วทำผลงานดีๆ ทำให้เศรษฐกิจดีขึ้น คนมีเงินในกระเป๋ามากขึ้น ที่คนอาจไม่พอใจเพื่อไทยบ้างในตอนนี้ แต่ถ้ารัฐบาลเพื่อไทย มีผลงานดี คนก็จะลืมไปเอง จึงไม่แปลกที่เพื่อไทยจะรีบออกมาประกาศ หลังเข้าไปเป็นรัฐบาล จะเร่งผลักดันนโยบายดิจิทัลวอลเล็ต แจกเงินคนละหนึ่งหมื่นบาททันที ซึ่งถ้าทำได้ คนก็แฮปปี้ และน่าจะทำให้คนที่เคยอาจไม่พอใจ เพื่อไทยที่ตั้งรัฐบาลกับพรรคการเมืองขั้วรัฐบาลปัจจุบัน ก็คงจะลดความไม่พอใจไปเองตามกาลเวลา
ทั้งหมด คือสาเหตุที่ทำให้ “เพื่อไทย” สุดท้ายต้องเอา “พรรคพลังประชารัฐ-รวมไทยสร้างชาติ” ร่วมรัฐบาลด้วย
แต่ที่กำลังจะ “ตกขบวน” ก็คือ “ประชาธิปัตย์” เพราะสูตรเดิม ตอนที่ “เพื่อไทย” ไปเจรจากับ “กลุ่มเพื่อนเฉลิมชัย” ของ “เฉลิมชัย ศรีอ่อน” ให้มาร่วมตั้งรัฐบาลกับเพื่อไทยนั้น สูตรดังกล่าวคือสูตรไม่มีพรรคลุง แต่เมื่อตอนนี้ เพื่อไทยได้จากพลังประชารัฐ-รวมไทยสร้างชาติ มา 76 เสียง และยังจะได้สว.มาอีกหลายสิบเสียง ทำให้ อาจไม่มีความจำเป็นต้องดึงประชาธิปัตย์มาร่วมรัฐบาลแล้ว ทำให้ประชาธิปัตย์ กลุ่มเฉลิมชัย 21 ส.ส. เสี่ยงไม่น้อยที่จะตกขบวนจัดตั้งรัฐบาลเพื่อไทย เพราะ “ทักษิณ-เพื่อไทย” ก็อาจไม่อยากร่วมรัฐบาลกับประชาธิปัตย์ ที่เคยเป็นคู่แค้นการเมืองกันมา อีกทั้ง หากเอาประชาธิปัตย์มา ก็ต้องมา “หารโควตารัฐมนตรี” กับประชาธิปัตย์อีก อย่างน้อยๆ ก็ 2 เก้าอี้ตามที่กลุ่มเฉลิมชัยต้องการ
จึงต้องรอดูว่า “เดชอิศม์ ขาวทอง” ส.ส.สงขลา ประชาธิปัตย์ ที่เป็นตัวดีลให้ประชาธิปัตย์ไปร่วมรัฐบาลกับเพื่อไทย จะเจรจากับเพื่อไทยและทักษิณ สำเร็จหรือไม่ หลังมีการไปคุยกับทักษิณถึงฮ่องกง
โดยหาก ประชาธิปัตย์ตกขบวนจัดตั้งรัฐบาล กลุ่มเฉลิมชัย นำทีมกระโดดขึ้นรถไฟของเพื่อไทยไม่ทัน ทั้งหมดก็เป็นเพราะ “ประชาธิปัตย์ฟัดกันเองไม่เลิก” ระหว่าง “ฝ่ายเฉลิมชัย” กับ “กลุ่มที่ไม่เห็นด้วยกับการนำปชป.ไปร่วมรัฐบาล” ที่นำโดย “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ-ชวน หลีกภัย” จนทำให้พรรคไม่เป็นเอกภาพ ในการจะเข้าร่วมรัฐบาล จนเปิดช่องให้ “พลังประชารัฐ-รวมไทยสร้างชาติ” เสียบแทน
แต่ก็ไม่แน่ หากเพื่อไทยต้องการความชัวร์ ในการโหวตนายกฯ ก็อาจต้องยอมให้ “กลุ่มเฉลิมชัย 21 เสียง” เข้ามาร่วมรัฐบาลด้วย แต่ก็จะทำให้อำนาจการต่อรองของกลุ่มเฉลิมชัย ลดลงไปมากกว่าก่อนหน้านี้ตอนที่เพื่อไทยยังไม่เอาพรรคลุงเข้ามา
เรียกได้ว่า งานนี้ “กลุ่ม 21 ส.ส.ประชาธิปัตย์” ที่หวังโควตา “รมว.แรงงาน-รมช.มหาดไทย” ให้กับ “เดชอิศม์” และ “ชัยชนะ เดชเดโช” ตามลำดับ ไม่แน่เผลอๆ อาจ “กินแห้ว” กล่องใหญ่ เพราะได้เก้าอี้รัฐมนตรี เล็กกว่าที่ต้องการเยอะ หรือไม่ก็ “ตกขบวน” ไปเลย
…………………………………………
คอลัมน์ : ส่องป้อมค่ายการเมือง
โดย…. พระจันทร์เสี้ยว