หลังเมื่อวันที่ 17 ม.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญมีมติ 7 ต่อ 1 ให้ “ศักดิ์สยาม ชิดชอบ” สิ้นสุดความเป็นรัฐมนตรี จากการถือหุ้นหจก.บุรีเจริญ คอนสตรัคชั่นฯ ที่แม้จะไม่มีผลกระทบต่อการเป็นสส.บัญชีรายชื่อ และเลขาธิการพรรคภูมิใจไทย แต่สุดท้าย “ศักดิ์สยาม” ก็เลือกที่จะลาออกจากทั้งสส.และเลขาธิการพรรค ในวันเดียวกันทันที
ส่งผลให้ “น้องเพลง-ชนม์ทิดา อัศวเหม” ผู้สมัคร สส.บัญชีรายชื่อ พรรคภูมิใจไทย ลำดับที่ 5 บุตรสาวของ “ชนม์สวัสดิ์ อัศวเหม” อดีตนายกฯอบจ.สมุทรปราการ บ้านใหญ่ปากน้ำ “อัศวเหม” และ “นันทิดา แก้วบัวสาย” นายกฯอบจ.สมุทรปราการ จะต้องได้เลื่อนตำแหน่งขึ้นมาเป็น สส.บัญชีรายชื่อ พรรคภูมิใจไทยคนใหม่
แต่ปรากฏว่า “ชนม์ทิดา” ยังไม่ทันไปรายงานตัวต่อสภาฯ ในฐานะสส.ใหม่ป้ายแดง เจ้าตัวก็ชิงลาออกจากสมาชิกพรรคภูมิใจไทยไปเสียก่อน ทำให้ “นันทนา สงฆ์ประชา” หรือ “มันแกว” นักการเมืองคนดังบ้านใหญ่ชัยนาท ตระกูล “สงฆ์ประชา” ผู้สมัครสส.บัญชีรายชื่อ ลำดับที่ 6 เลยได้เลื่อนลำดับขึ้นมาแทน
ขณะที่เก้าอี้ เลขาธิการพรรคภูมิใจไทยคนใหม่ ข่าวว่า เดิมที “เนวิน ชิดชอบ” พี่ใหญ่ภูมิใจไทย และ “อนุทิน ชาญวีรกูล” จะดัน “พิพัฒน์ รัชกิจประการ” รมว.แรงงาน หรือไม่ก็ “ทรงศักดิ์ ทองศรี” รมช.มหาดไทย ลูกพี่ลูกน้องกับ “เนวิน” มาเสียบแทน แต่ล่าสุดข่าวว่า เต็งหนึ่งไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็น ลูกชายของเนวิน
ที่ก็คือ “ไชยชนก ชิดชอบ” ส.ส.บุรีรัมย์ พรรคภูมิใจไทย ที่ก่อนหน้านี้ตอนตั้งรัฐบาล สื่อบางแห่งไปรายงานข่าวว่า “ไชยชนก” จะเป็นรัฐมนตรี ทั้งที่จริง เจ้าตัวอายุเพิ่ง 34 ปี ไม่สามารถเป็นรัฐมนตรีได้เพราะต้องอายุ 35 ปีขึ้นไป
ซึ่งการที่ “ไชยชนก” จะเป็นเลขาธิการพรรคภูมิใจไทย ย่อมเป็นเครื่องหมายการันตีได้อย่างหนึ่งว่า “เนวิน” และตระกูล “ชิดชอบ” ยังคงทำงานการเมืองระยะยาว ที่จะทำให้ลูกพรรคสบายใจได้ ตราบใดที่ “บ้านใหญ่บุรีรัมย์” ยังคงเป็นเสาหลักของ “ภูมิใจไทย” ผนวกกับการดัน “ไชยชนก” ที่ดีกรีการศึกษา การทำงาน ก็ไม่ธรรมดา มาเป็น “เลขาธิการพรรค” ก็ถือว่า ตอบโจทย์การเมืองยุคปัจจุบัน ที่ต้องการเห็น “คนรุ่นใหม่” ขึ้นมามีบทบาทในพรรคการเมือง
ส่วนสูตรเลขาธิการพรรคภูมิใจไทยคนใหม่ จะใช่ “หลานขึ้นมาแทนอา” คือ “ไชยชนก” ที่เป็นหลาน “ศักดิ์สยาม” จะมาเป็นเลขาธิการพรรคภูมิใจไทยคนใหม่หรือไม่ คงอยู่ที่การตัดสินใจขั้นสุดท้าย ของ “เนวิน-ไชยชนก” แล้วว่า โอเคหรือไม่กับสูตรนี้
กระนั้นดูแล้ว มีความเป็นไปได้สูง กับภาพใหม่ของ “ภูมิใจไทย” คือ “อนุทิน” หัวหน้าพรรค ที่มีประสบการณ์-ชั่วโมงบินทางการเมืองสูง อยู่มาแล้วหลายพรรคทั้ง “ชาติพัฒนา-ไทยรักไทย-พลังประชาชน-ภูมิใจไทย” ส่วนเลขาธิการพรรคก็คนรุ่นใหม่ แบ็คอัพการเมืองแน่น สายตรง “เนวิน” ลูกพรรคให้การยอมรับ ที่ถือว่าเป็นสูตรที่ลงตัวพอสมควร
และจบจาก “คดีศักดิ์สยาม” แล้ว พุธกลางสัปดาห์นี้ ก็ถึงคิว “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล ที่ศาลรัฐธรรมนูญนัดอ่านคำวินิจฉัย “คดีหุ้นสื่อไอทีวี” ในวันพุธที่ 24 ม.ค.นี้ เวลา 14.00 น.
ซึ่งคดีของ “พิธา” ประเมินยากกว่า คดีของ “ศักดิ์สยาม” มาก เพราะถึงตอนนี้ ยังเดาทางไม่ได้ว่า เสียงข้างมากในศาลรัฐธรรมนูญจะเอาอย่างไร?
แม้จะเคยมีการวางบรรทัดฐานไว้ก่อนหน้านี้ว่า หากผู้สมัครสส.ถือครองหุ้นสื่อ แม้กิจการที่ถือไว้ จะยุติกิจการไปแล้ว แต่หากยังไม่ได้แจ้งยกเลิกกิจการกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ก็ถือว่า ยังถือครองหุ้นไว้อยู่ ที่เคยมีให้เห็นมาแล้วกับกรณีหุ้นสื่อวีลัคมีเดีย ของ “ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” เป็นต้น
ทั้งนี้แนวโน้มการวินิจฉัยคดีหุ้นสื่อพิธา หลักๆ “ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ” จะพิจารณาก่อนว่า “ไอทีวี” ยังประกอบกิจการเป็นสื่อมวลอยู่หรือไม่ แม้ตอนนี้ยังยุติการแพร่ภาพออกอากาศมาหลายปี แต่หากยังไม่ได้แจ้งยกเลิกการประกอบกิจการกับกรมทะเบียนการค้า จะถือว่ายังทำธุรกิจสื่ออยู่หรือไม่
แต่หากเสียงส่วนใหญ่ของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่า ไอทีวีไม่ได้ประกอบกิจการเป็นสื่อแล้ว แบบนี้ก็จบง่าย ศาลยกคำร้องของ “กกต.” ได้เลย เท่ากับ “พิธา” ไม่ขาดคุณสมบัติการลงสมัครรับเลือกตั้ง สส.ตามรัฐธรรมนูญและตาม พ.ร.บ.การเลือกตั้ง สส.
และจะทำให้ “พิธา” ได้กลับเข้าสภาฯ ได้เข้ามาทำหน้าที่ สส.อีกครั้ง หลังหยุดปฏิบัติหน้าที่ไปหลายเดือน ในช่วงเย็นวันพุธที่ 24 ม.ค.นี้ทันที
แต่หากตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเสียงส่วนใหญ่เห็นว่า ไอทีวียังประกอบกิจการเป็นสื่ออยู่ ทางตุลาการศาลรัฐธรรมนูญจะไปพิจารณาว่า “พิธา” มีเจตนาครอบครองหุ้นไอทีวีดังกล่าวก่อนลงเลือกตั้ง ไม่ได้มีการโอนหรือจำหน่ายหุ้น อันเป็นการขัดรัฐธรรมนูญและ พ.ร.บ.เลือกตั้ง สส.หรือไม่
ซึ่งหากเสียงส่วนใหญ่เห็นว่า “พิธา” มีเจตนาครอบครองหุ้นไอทีวีไว้ ก็มีโอกาสที่ “พิธา” อาจไม่รอด ไม่ได้กลับมาเป็น สส.ยาวไปเลย เพราะถือว่า ฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ มาตรา 98 (3) และ พ.ร.บ.การเลือกตั้ง สส. ที่ห้ามผู้สมัคร สส.ถือหุ้นสื่อก่อนยื่นสมัครรับเลือกตั้ง
ทำให้ “พิธา” ต้องพ้นสภาพการเป็น สส. ที่คาดว่าอาจจะให้มีผลย้อนหลังไปตั้งแต่วันเลือกตั้ง 14 พ.ค.66 แต่จะไม่ถูกตัดสิทธิ์การเมือง-การเลือกตั้งแต่อย่างใด เพียงแค่หลุดจาก สส.เท่านั้น
ซึ่งหากไม่รอด ก็ไม่แน่ “พิธา” อาจถูก “กกต.” ยื่นเอาผิดในคดีอาญา ตามมาตรา 151 พ.ร.บ.การเลือกตั้ง สส.ที่บัญญัติว่า…
“ผู้ใดรู้อยู่แล้วว่า ตนไม่มีสิทธิ์รับสมัครเลือกตั้ง เนื่องจากขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิ์สมัครรับเลือกตั้ง ได้สมัครรับเลือกตั้ง หรือทําหนังสือยินยอมให้พรรคการเมืองเสนอรายชื่อเพื่อสมัครรับเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อต้องระวางโทษจำคุก 1-10 ปี ปรับ 20,000-200,000 บาท ให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิ์เลือกตั้ง 20 ปี”
ที่หาก “พิธา” โดน “กกต.” เอาผิดเรื่องนี้ ก็จะกลายเป็น “ดาบสอง” ตามมากระหน่ำซ้ำทันที
“พิธา” จะได้กลับเข้าสภาฯอีกครั้งหรือไม่ ก็ต้องรอฟังผลการลงมติและการอ่านคำวินิจฉัยของศาลรธน.พุธที่ 24 ม.ค.นี้
………………………………………………..
คอลัมน์ : ส่องป้อมค่ายการเมือง
โดย “พระจันทร์เสี้ยว”