และแล้ว “เศรษฐา ทวีสิน” นายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง ก็เดินทางเข้าพบ “ทักษิณ ชินวัตร” ที่บ้านพักจันทร์ส่องหล้า เมื่อช่วงสายวันเสาร์ที่ 24 ก.พ.ที่ผ่านมา
หลัง “ทักษิณ” ออกจาก รพ.ตำรวจ มาได้เจ็ดวัน อันเป็นการเข้าพบด้วยการนั่งรถประจำตำแหน่งนายกรัฐมนตรีใหม่เอี่ยม ราคาหลายล้านบาท โดยที่ “เศรษฐา” ก็รู้ว่า การเข้าพบครั้งนี้ ทำในช่วงพระอาทิตย์ยังไม่ตกดิน และมีสื่อมวลชนจำนวนมาก เกาะติดทำข่าวหน้าบ้านจันทร์ส่องหล้า ที่ทำให้สื่อต้องรายงานข่าวอย่างครึกโครม ท่ามกลางเสียงวิจารณ์ ตอนนี้ประเทศไทยอยู่ในช่วง “1 ประเทศ-2 นายกฯ” หลัง “ทักษิณ-จันทร์ส่องหล้า” กำลังกลายเป็น “ศูนย์รวมอำนาจทางการเมือง”
แต่ “เศรษฐา” ก็ยังเข้าพบ “ทักษิณ” แบบเปิดเผย ทั้งที่จะเข้าพบในช่วงค่ำหรือเช้าสงัด เพื่อหลบสื่อมวลชน ก็ย่อมทำได้
ท่ามกลางเสียงวิจารณ์ทางการเมืองอีกมุมหนึ่งว่า หรือจริงๆ แล้ว “เศรษฐา” ไม่ได้เข้าไปเยี่ยม-พบ “ทักษิณ” แต่ถูก “สั่ง” ให้ไปรายงาน-รับคำสั่งการทำงานกันแน่ !!
สิ่งที่เกิดขึ้นดังกล่าว ยิ่งทำให้ “คนภายนอก-คนในรัฐบาล-สส.เพื่อไทย” ยิ่งเห็นชัดว่า “บารมีของทักษิณ” แรงกล้าจริงๆ
สมแล้วที่คนบอกว่า ตอนนี้การเมืองไทยมีพระอาทิตย์สองดวง ดวงแรก…อยู่ที่ตึกไทยคู่ฟ้า ดวงที่สอง…อยู่ที่จันทร์ส่องหล้า แต่ดวงที่มีรัศมีส่องแสงร้อนแรงที่สุด อยู่ที่ “จันทร์ส่องหล้า” หาใช่ “ตึกไทยคู่ฟ้า” แต่อย่างใด
ยิ่งก่อนหน้านี้ไม่กี่วัน คือวันพุธที่ 21 ก.พ.67 การที่ สมเด็จอัครมหาเสนาบดี เดโช ฮุน เซน หรือ “สมเด็จฮุน เซน” ประธานคณะองคมนตรีกัมพูชา-อดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชา เดินทางจากกัมพูชา เพื่อเข้าบ้านจันทร์ส่องหล้า เพื่อไปเยี่ยม “ทักษิณ ชินวัตร” และกินข้าวเที่ยงร่วมกัน โดยมี “อุ๊งอิ๊ง-แพทองธาร ชินวัตร” หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ร่วมวงด้วย
พร้อมกับการที่ “ฮุน เซน” ในฐานะหัวหน้าพรรคประชาชนกัมพูชา ส่งเทียบเชิญ “แพทองธาร” เยือนกัมพูชา ช่วง 18-19 มี.ค.67 นี้ ซึ่งเบื้องต้น “แพทองธาร” ตอบรับแล้ว และจะขนแกนนำพรรคเพื่อไทยไปทริปนี้ด้วย ที่คาดว่า นอกจากจะได้พบเจอกับ “ฮุน เซน” ก็จะได้เจอกับ สมเด็จมหาบวรธิบดี ฮุน มาแนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชาอีกด้วย
ทั้งหมดยิ่งทำให้ “จันทร์ส่องหล้า” โดดเด่น และกลายเป็น “ศูนย์อำนาจทางการเมืองของรัฐบาล” อย่างเห็นได้ชัด
ทำให้บทบาทการเมืองของ “แพทองธาร” ยิ่งโดดเด่น มากขึ้นเรื่อยๆ แม้จะไม่ได้มีตำแหน่งใดๆทางการเมืองในรัฐบาล เป็นแค่ รองประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ และ รองประธานคณะกรรมการพัฒนาระบบสุขภาพแห่งชาติ
แต่การเป็น “บุตรสาวทักษิณ-หัวหน้าพรรคเพื่อไทย” ก็ทำให้ “แพทองธาร” คือเบอร์ 2 ของรัฐบาลเพื่อไทย ชนิดไม่มีใครปฏิเสธ และเป็นเรื่องที่ “เศรษฐา” ก็รู้ถึงจุดนี้ดี ตั้งแต่ตอบรับ เข้าเป็นหนึ่งในแคนดิเดตนายกฯ ของพรรคเพื่อไทยตอนหาเสียงเลือกตั้งเมื่อปี 2566
สำหรับการเข้าพบ “ทักษิณ” ของ “นายกฯเศรษฐา” ที่ใช้เวลาร่วมสองชั่วโมง ต่อมา “เศรษฐา” ให้สัมภาษณ์ก่อนเดินทางออกจากบ้านจันทร์ส่องหล้า โดยพยายามจะบอกว่า ไม่ได้คุยเรื่องการเมืองอะไร คุยกันแต่เรื่องสุขภาพ และตัวทักษิณก็ขอให้นายเศรษฐาพักผ่อนบ้าง เพราะเห็นทำงานเยอะ อีกทั้งยังไม่ถึงขั้นคิดไปถึงเรื่องจะตั้งทักษิณ เป็นที่ปรึกษาฯแบบไม่เป็นทางการ
“ไม่ได้พูดจาอะไรมากขนาดนั้น เพราะนายทักษิณยังมีอาการเจ็บที่แขนแต่เริ่มขยับได้บ้าง และเชื่อว่าอาการคงดีขึ้น นายทักษิณยังเป็นนายกฯที่มีความนิยมมากที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองไทย มีความรู้สะสมมา ไม่ได้มาวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของผม แต่นายทักษิณก็บอกให้พักบ้าง เห็นทำงานหนัก ไม่มีการคุยเรื่องการเมือง ไม่ได้คุยการตั้งอะไรหรือจะมาช่วยบ้านเมืองอย่างไร ไม่มีเลย ยอมรับท่านเป็นห่วงบ้านเมือง บอกว่าช่วงนี้ก็เหนื่อยหน่อยนะ ปัญหาเศรษฐกิจเยอะ หากมีโอกาสก็จะเดินทางมาพบ แล้วแต่โอกาสและจังหวะ”
ประเมินแล้ว หลังจากนี้ “ทักษิณ” คงมีการเคลื่อนไหวทางการเมืองออกมาเป็นระยะ ในรูปแบบไม่เป็นทางการ โดยเฉพาะหลังได้รับอิสรภาพอย่างเต็มที่ ในช่วงเดือนก.ย.ปีนี้ ไม่ต้องเป็นนักโทษคุมประพฤติ เหมือนเช่นปัจจุบัน ที่ก็เหลือเวลาอีกประมาณหกเดือนเท่านั้น
โดยแม้ “ทักษิณ” จะไม่สามารถมีตำแหน่งทางการเมืองที่เป็นทางการใดๆ ได้ ทำได้แค่ตำแหน่งแบบไม่เป็นทางการเช่นที่ปรึกษาส่วนตัวฯ เพราะมีคุณสมบัติต้องห้าม เนื่องจากเคยถูกศาลฎีกาตัดสินจำคุกคดีทุจริตคอรัปชั่นฯและยังถูกศาลฎีกาฯสั่งยึดทรัพย์ฯ แต่ก็สามารถเล่นบทชักใยอยู่ข้างหลัง “เศรษฐา-รัฐบาลเพื่อไทย” ได้ตลอดเวลา
กระนั้นว่ากันตามจริง ที่ผ่านมาจนถึงตอนนี้ “ทักษิณ” ก็อยู่เบื้องหลังการวางแผนสั่งการทางการเมืองให้กับ “รัฐบาลเศรษฐา-พรรคเพื่อไทย” มาตลอดเวลาอยู่แล้ว!!!
………….
คอลัมน์…ส่องป้อมค่ายการเมือง
โดย… “พระจันทร์เสี้ยว”
