การผลักดันให้ประเทศไทยมีการเปิด “กาสิโน” ที่กำลังฮือฮากันทางการเมืองเวลานี้ หลัง “เศรษฐา ทวีสิน” นายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง แสดงท่าทีชัดเจนชัดๆ สองรอบในสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า “เห็นด้วย” และรัฐบาลพร้อมผลักดัน เสนอร่างกฎหมายเข้าสภาฯ เพื่อให้ประเทศไทยมีการเปิดกาสิโนที่จะอยู่ใน “เอนเตอร์เทนเม้นท์ คอมเพล็กซ์”
ซึ่งฝ่ายที่จะเป็นแม่งานหลักในการเสนอกฎหมายเข้าสภาฯ ก็คือ “กระทรวงการคลัง” ที่จะเป็นเจ้าภาพใหญ่ หากนโยบายเปิดเอนเตอร์เทนเม้นท์ คอมเพล็กซ์ เกิดขึ้นจริง มีการออกกฎหมายมารองรับ โดยเฉพาะการเก็บภาษีจากกาสิโนที่พบว่า หลายประเทศที่เปิดให้มีกาสิโน ได้ภาษีจากกาสิโนแต่ละเดือน-ปี สามารถเก็บภาษีเข้ารัฐได้เป็นจำนวนมาก
ขณะเดียวกัน ฝ่ายสส.รัฐบาล โดยเฉพาะ “พรรคเพื่อไทย” พรรคแกนนำรัฐบาล ก็เด้งรับเช่นกัน โดยคนในพรรคก็ออกมาประกาศแล้วว่า จะให้สส.ของพรรคเพื่อไทยร่วมกันลงชื่อเสนอร่างพ.ร.บ.การประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจรฯ เข้าสู่สภาฯ เพื่อประกบกับร่างของ กระทรวงการคลัง โดยจะใช้ร่างที่อยู่ในรายงานของ คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาการเปิดสถานบันเทิงครบวงจร (Entertainment Complex) ของสภาผู้แทนราษฎร ที่สภาฯลงมติรับทราบรายงานดังกล่าวไปเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา เป็นตัวร่างหลักแต่จะมีการนำไปปรับปรุงแก้ไขรายละเอียดอีกครั้ง เพื่อให้รอบคอบรัดกุมมากยิ่งขึ้น และเมื่อทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย ก็จะให้สส.ของพรรคร่วมกันลงชื่อ เสนอเข้าสภาฯ โดยให้เป็นร่างของพรรคเพื่อไทย ประกบไปในช่วงที่รัฐบาลเสนอร่างกฎหมายเข้าสภาฯเช่นกัน
เช่นเดียวกับ ก็มีข่าวว่าอีกหลายพรรคการเมือง ที่มีสส.เกิน 20 คน ก็เตรียมยกร่างพ.ร.บ.เกี่ยวกับสถานบันเทิงครบวงจรฯ เข้าสภาฯประกบกับร่างของรัฐบาลและของเพื่อไทยเช่นกัน
ไม่เว้นแม้แต่กับ “พรรคก้าวไกล” ก็มีข่าวว่า ก็พร้อมจะเสนอร่างประกบเช่นกัน
หากเป็นไปตามนี้ เนื่องจากร่างดังกล่าว อาจเข้าข่ายกฎหมายการเงิน ก็ทำให้ “เศรษฐา” ในฐานะนายกฯ ก็จะต้องเซ็นรับรองร่างทั้งหมด ที่แต่ละพรรคการเมืองเสนอมา เพื่อเข้าสภาฯ พร้อมกันไปเลยล็อตเดียวกัน
ขณะที่เรื่อง “แรงต้าน” นั้น แน่นอนว่าต้องมีอยู่แล้ว เพราะทุกอย่าง ย่อมต้องมี “ข้อดี-ข้อเสีย” เช่นเดียวกับ “กาสิโน” ก็มีข้อเสียที่หลายคนเป็นห่วงและคัดค้าน เช่นเกรงว่า หากไทยให้เปิดกาสิโนได้ ก็จะมีปัญหาต่างๆ ตามมาเช่น การฟอกเงิน ของคนที่ได้เงินมาโดยผิดกฎหมาย ก็จะใช้ “กาสิโน” เป็นแหล่งฟอกเงิน
แม้แต่กับ “นักการเมือง-ข้าราชการประจำ” ก็อาจใช้ช่องทางกาสิโน เป็นที่ฟอกเงินที่ได้จากการทุจริตคอรัปชั่นได้ โดยอ้างว่าที่ร่ำรวยขึ้น เพราะไปเล่นกาสิโนมาได้
รวมถึงข้อเป็นห่วงอื่นๆ เช่น จะทำให้เกิดอาชญากรรมข้ามชาติ เข้ามาในไทยมากขึ้น โดยเฉพาะ “กลุ่มทุนสีเทา” ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจกาสิโน-เอ็นเตอร์เทนเมนท์ คอมเพล็กซ์ ที่จะเข้ามาสร้างเครือข่ายในพื้นที่ซึ่งมีการเปิดกาสิโนในประเทศไทย
รวมไปถึงปัญหาด้านสังคมอื่นๆ ที่หลายคนเป็นห่วง เช่น ปัญหาอาชญากรรมในพื้นที่-ปัญหายาเสพติด-ปัญหาเครือข่ายทวงหนี้นอกระบบ
โดยเฉพาะข้อเป็นห่วงเรื่องที่คนไทยจะเข้าไปเล่นกาสิโนกันได้ง่ายๆ ไม่มีการกวดขันตรวจสอบฐานะการเงินอย่างดีพอ โดยเฉพาะกาสิโนบางแห่ง ที่ไม่ใช่กาสิโนเกรด A ที่เน้นแขกวีไอพีต่างชาติมากนัก สุดท้ายหากเกิดเล่นเสียหมดตัว ก็จะเกิดปัญหาอื่นๆ ตามมา เช่น ปัญหาในครอบครัว-ปัญหาหนี้สิน
รวมถึงเสียงคัดค้านอมตะเรื่อง ประเทศไทยเป็นเมืองพุทธ ไม่ควรมีสิ่งไม่ดีอย่าง “กาสิโน” ที่ก็คือ “บ่อนถูกกฎหมาย” เปิดได้อย่างเสรีในเมืองไทย
กระนั้นก็ต้องยอมรับว่า กระแสต่อต้านเรื่องการเปิดกาสิโน หากเทียบกับสมัยก่อน ถึงตอนนี้แรงต้านลดน้อยลงไปมาก
หลังคนไทยเห็นแล้วว่า ประเทศเพื่อนบ้านหลายประเทศ ก็เปิดกาสิโนกันหลายประเทศ ไม่ว่าจะเป็น กัมพูชา เวียดนาม หรือแม้แต่กับ สิงคโปร์ ที่เคยคัดค้านอย่างเต็มที่ แต่ตอนนี้ก็มีแล้วและประสบความสำเร็จมากด้วย แม้แต่กับ มาเลเซีย ที่ประชากรส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลาม ที่เคร่งครัดกว่าไทยมาก ก็ยังมีการให้เปิดกาสิโน
ยิ่งหลายคนก็เห็นตรงกันว่า เศรษฐกิจของประเทศไทยมีปัญหา ไม่มีแหล่งรายได้ใหม่ๆ ธุรกิจใหม่ ที่ให้รัฐบาลจัดเก็บภาษีได้เป็นกอบเป็นกำ ดังนั้น การมีเอ็นเตอร์เทนเมนท์ คอมเพล็กซ์-มีกาสิโน ก็น่าจะทำให้ภาครัฐ มีแหล่งรายได้ใหม่ และเก็บภาษีได้ต่อเนื่องจากกาสิโน อีกทั้งยังได้เรื่องขอ การท่องเที่ยวจากนักท่องเที่ยวกลุ่ม A ถึง A+ ที่จะพ่วงโปรแกรมการมาเที่ยวเมืองไทย ด้วยการเข้าไปเที่ยวในเอ็นเตอร์เทนเมนท์ คอมเพล็กซ์ แล้วก็เล่นกาสิโนด้วย ตลอดจนเรื่อง การจ้างงาน ที่ยังไง การเปิดเอนเตอร์เทนเมนท์ คอมเพล็กซ์ แต่ละแห่งก็ต้องมีการจ้างงานระดับหลักพันขึ้นไป โดยเฉพาะแรงงานในพื้นที่และใกล้เคียง
ทั้งหมดจึงทำให้ “เสียงคัดค้าน” แม้ยังดังอยู่ แต่ “ดังไม่มาก” เหมือนในอดีต
ยิ่งหากรัฐบาลให้คำยืนยันและมีการเขียนไว้ในกฎหมายให้มีการเปิดกาสิโนว่า จะนำรายได้ส่วนหนึ่ง แบบหักถาวรเลยเช่น 15-20 เปอร์เซ็นต์ของภาษีกาสิโน ไปจัดสรรเป็น “กองทุนสวัสดิการ” ให้กับประชาชน เช่น เพื่อเพิ่ม “เบี้ยผู้สูงอายุ” จากปัจจุบันได้กันอยู่ที่ขั้นต่ำ เดือนละ 600 บาท เป็น 1,500-2,000 บาท ถ้าแบบนี้ก็เชื่อว่า จะทำให้แรงต้านลดน้อยลง
หลังจากนี้ ต้องดูท่าที “รัฐบาล-พรรคการเมือง” ในการเสนอร่างพ.ร.บ.เกี่ยวกับกาสิโน-เอนเตอร์เทนเมนท์ คอมเพล็กซ์เข้าสภาฯ ที่ดูทรงแล้ว ยังไงเรื่องกฎหมายการให้เปิดกาสิโน การผลักดันให้เกิดเอนเตอร์เทนเมนท์ คอมเพล็กซ์ในไทย เกิดขึ้นแน่ใน “รัฐบาลเพื่อไทย” แต่จะราบรื่นหรือไม่ ก็เป็นอีกประเด็น
และจริงๆ เรื่องนี้ ไม่ใช่เรื่องใหม่ สำหรับคนเพื่อไทย เพราะแนวคิดต้องการให้มีการเปิดเอนเตอร์เทนเมนท์ คอมเพล็กซ์ เกิดขึ้นมาตั้งแต่ยุค “ทักษิณ ชินวัตร” เป็นนายกฯสมัยแรกแล้ว
โดยตอนนั้น เคยมี ผู้บริหารบริษัท MGM Resort International ที่เป็นกลุ่มธุรกิจกาสิโนที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ที่ทำธุรกิจกาสิโนขนาดใหญ่ที่ลาส เวกัส สหรัฐอเมริกาและอีกหลายแห่งทั่วโลก ก็เคยส่งตัวแทนไปคุยกับ “ทักษิณ” ที่ทำเนียบรัฐบาลมาแล้ว จนต่อมา “ทักษิณ” ออกมาเปิดประเด็นเรื่อง “ประเทศไทยควรมีเอนเตอร์เทนเมนท์ คอมเพล็กซ์” ที่ให้มีกาสิโนด้วย เหมือนกับต้องการโยนหินถามทาง และมีคนเสนอต่อมาว่า ให้ไปเปิดที่ “ทุ่งกุลาร้องไห้” จังหวัดร้อยเอ็ด
ซึ่งปรากฏว่าได้ผล “ทัวร์ลงยับ” คนออกมาต่อต้านจำนวนมาก จนเรื่องเงียบไป แต่เรื่องการให้เปิดกาสิโน ก็ยังมีการพูดถึงต่อมาอีกหลายรัฐบาล แต่ก็ไม่เคยมี “นายกฯคนไหน” กล้าตัดสินใจ เพราะกลัวโดนด่า หวั่นเสียงต่อต้าน ก็เห็นจะมีแต่ “เศรษฐา ทวีสิน” ที่ประกาศชัดเจนขนาดนี้ว่า พร้อมจะเดินหน้า “ทำ” ให้ประเทศไทยมี “เอนเตอร์เทนเมนท์ คอมเพล็กซ์-กาสิโน”
เท่ากับเป็นการเข้ามา “สานฝัน” เติมเต็มสิ่งที่ “ทักษิณ” เคยคิดไว้ให้สำเร็จ….ใช่หรือไม่?
………………….
คอลัมน์ : ส่องป้อมค่ายการเมือง
โดย..“พระจันทร์เสี้ยว”