วันอังคาร, กันยายน 17, 2024
spot_img
หน้าแรกCOLUMNISTSส.ค.นี้ชี้ชะตา“ก้าวไกล-นายกฯเศรษฐา” ถ้าไม่รอด“การเมืองไทย”จะเกิดอะไรขึ้น
- Advertisment -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

ส.ค.นี้ชี้ชะตา“ก้าวไกล-นายกฯเศรษฐา” ถ้าไม่รอด“การเมืองไทย”จะเกิดอะไรขึ้น

เดือนส.ค.ที่กำลังจะถึงนี้ กลายเป็นเดือนที่ไม่ใช่แค่กับ คนการเมือง-นักการเมือง-พรรคการเมือง ทั้งปีกรัฐบาลและฝ่ายค้าน แต่เรียกได้ว่า วงการธุรกิจ-เศรษฐกิจ-นักลงทุน หรือจะบอกว่าคนไทยทั่วประเทศก็ได้ ที่ต่างรอลุ้นระทึกกับผลคำวินิจฉัยของ “ศาลรัฐธรรมนูญ” ใน 2 คดีสำคัญที่ศาลรัฐธรรมนูญนัดตัดสิน ห่างกันแค่ 7 วัน

7 ส.ค.67 -คดียุบพรรคก้าวไกล ตามคำร้องของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กรณีมีพฤติการณ์เข้าข่ายล้มล้างการปกครองฯ ตามคำวินิจฉัยของศาลรธน.เมื่อ 31 ม.ค.67 ในคดีที่ 3/2567

14 ส.ค.67 -คดี 40 อดีตสว.ชุดที่แล้ว ยื่นคำร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยกรณี “เศรษฐา ทวีสิน” นายกรัฐมนตรี นำความกราบบังคมทูลฯ เพื่อโปรดเกล้าแต่งตั้ง “พิชิต ชื่นบาน” เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ทั้งๆ ที่รู้ หรือควรรู้อยู่แล้วว่า “พิชิต” ขาดคุณสมบัติ หรือมีลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ เป็นเหตุให้ความเป็นรัฐมนตรีของนายเศรษฐา สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ

ซึ่งผลทางคดี หลักๆ ก็จะมีสองแบบคือ….

แนวทางที่หนึ่ง ยกคำร้อง ก็คือ ที่ประชุมตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเสียงข้างมากหรือเอกฉันท์ก็แล้วแต่ เห็นว่า ผู้ถูกร้อง ที่ก็คือ “พรรคก้าวไกล” ในคดีแรก และ “เศรษฐา” นายกฯในคดีที่สอง เป็นผู้ชนะในคดี

ที่ก็คือ “ไม่ได้มีความผิดตามคำร้อง” โดยในส่วนของ “พรรคก้าวไกล” ก็คือไม่ได้มีพฤติการณ์ล้มล้างการปกครองฯ นั่นเอง

ถ้าเป็นแบบนี้ก็คือ พรรคก้าวไกลรอดไม่โดนยุบพรรค ยังคงมีชื่อพรรคก้าวไกลในสารบบพรรคการเมืองประเทศไทยต่อไป และกรรมการบริหารพรรคก้าวไกลเช่น “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” หัวหน้าพรรคในช่วงเกิดเหตุตามคำร้อง-“ชัยธวัช ตุลาธน” เลขาธิการพรรคในช่วงเกิดเหตุ (ปัจจุบันเป็นหัวหน้าพรรค) ไม่ต้องถูกตัดสิทธิทางการเมืองสิบปีตามคำร้องที่ กกต.ยื่นไป โดยยังคงเป็นสส.ในสภาฯได้อยู่

อย่างไรก็ตาม นักกฎหมายบางสำนักก็มองว่า กรณีศาลรัฐธรรมนูญยกคำร้องคดียุบพรรคก้าวไกล ยังเกิดได้อีกกรณีคือ ศาลเห็นว่ากระบวนการพิจารณาของ กกต.ในการไต่สวนเอาผิดพรรคก้าวไกล ดำเนินการโดยไม่ถูกต้อง ไม่มีการเปิดโอกาสให้พรรคก้าวไกลในฐานะผู้ถูกร้อง ได้ส่งตัวแทนไปชี้แจงกับ กกต. เพื่อแก้ข้อกล่าวหาแม้แต่ครั้งเดียว เพื่อสู้คดี-ได้พิสูจน์ตัวเอง แต่ กกต.ก็มีมติให้ส่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยแล้ว

นักกฎหมายบางส่วนมองว่า ไม่แน่ศาลรัฐธรรมนูญอาจยกคำร้องจากประเด็นนี้ คือเป็นการยกคำร้องไม่เอาผิดพรรคก้าวไกลด้วยประเด็นเชิงเทคนิคข้อกฎหมาย ซึ่งหากออกมาแบบนี้เท่ากับพรรคก้าวไกลชนะฟาวล์  ซึ่งเคยเกิดมาแล้วกับคดี “ยุบพรรคประชาธิปัตย์” กรณีเงินบริจาคฯเมื่อหลายปีก่อนหน้านี้ ที่ศาลรัฐธรรมนูญในอดีตเคยยกคำร้องด้วยเหตุผล คดีขาดอายุความฯ

เหตุที่มีการมองว่าอาจออกมาแบบนี้ เพราะมองกันว่า ศาลรัฐธรรมนูญเคยตัดสินคดีล้มล้างการปกครองฯหรือคดี 3/2567 ไปแล้ว ดังนั้นหากศาลรัฐธรรมนูญจะไม่ยุบพรรคก้าวไกล ก็จะถูกมองว่าไม่เดินตามคำวินิจฉัยเดิม ดังนั้นถ้าศาลจะไม่ยุบพรรคก้าวไกลด้วยเหตุผลบางประการ ก็อาจต้องหาเหตุเรื่อง “ข้อกฎหมาย” มาเป็นตัวสนับสนุนเพื่อยกคำร้อง

ส่วน “เศรษฐา” หาก “รอด” หรือศาลรัฐธรรมนูญยกคำร้อง ผลก็คือ “เศรษฐา” ยังได้เป็นผู้นำประเทศอยู่ ไม่ต้องเก็บของออกจากตึกไทยคู่ฟ้าในช่วงเย็นวันที่ 14 ส.ค. และนั่นหมายถึง ครม.ทั้งคณะ ก็ยังได้อยู่ในตำแหน่งต่อไป ตลอดจนข้าราชการการเมืองทุกคน-ทุกกระทรวง เช่น ที่ปรึกษารัฐมนตรี-เลขานุการรมต.-ผู้ช่วยรัฐมนตรี เป็นต้น ก็ยังได้นั่งตำแหน่งเดิม

แนวทางที่สอง ตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญก็คือ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเสียงข้างมากหรือเอกฉันท์ ตัดสินไปในทางไม่เป็นคุณกับผู้ถูกร้องคือ พรรคก้าวไกลและนายกฯเศรษฐา พูดง่ายๆ “ไม่รอด-มีความผิด” ตามคำร้องนั่นเอง

โดยหากพรรคก้าวไกลไม่รอด โดนยุบพรรค ผลการเมืองที่ตามมาก็คือ พรรคก้าวไกลจะหายไปจากสารบบพรรคการเมืองไทย ตามรอยพรรคอนาคตใหม่ พรรคส้มรุ่นพี่ และกรรมการบริหารพรรคก้าวไกล ก็จะถูกตัดสิทธิการลงสมัครรับเลือกตั้งสิบปีหรือ “ติดโทษแบนการเมือง” นั่นเอง

โดยคนที่จะโดนก็คือ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์-ชัยธวัช ตุลาธน-ณธีภัสร์ กุลเศรษฐสิทธิ์ เหรัญญิกพรรค-ณกรณ์พงศ์ ศุภนิมิตตระกูล นายทะเบียนสมาชิกพรรค-ปดิพัทธ์ สันติภาดา รองประธานสภาฯ และสส.พิษณุโลก พรรคเป็นธรรม ซึ่งย้ายมาจากก้าวไกล เพื่อรักษาเก้าอี้รองประธานสภาฯ-สมชาย ฝั่งชลจิตร-อมรัตน์ โชคปมิตต์กุล-อภิชาต ศิริสุนทร-เบญจา แสงจันทร์-สุเทพ อู่อ้น-อภิสิทธิ์ พรมฤทธิ์

ซึ่งในจำนวนนี้ มีส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ชุดปัจจุบันด้วยกัน 5 คน คือ “พิธา-ชัยธวัช-อภิชาต-เบญจา-สุเทพ” ส่วน “ปดิพัทธ์” หากไม่รอด ต้องมีการเลือกตั้งซ่อมสส.เขต 1 พิษณุโลก

ส่วนสส.พรรคก้าวไกล ทั้งหมดร้อยกว่าชีวิต ต้องหาพรรคใหม่สังกัดภายในสามสิบวัน ซึ่งเชื่อว่า แกนนำพรรคมีแผนรองรับไว้แล้ว ที่ก็จะใช้วิธีไปติดต่อกับพรรคการเมือง ที่จดทะเบียนไว้กับ กกต. ด้วยการไปเซ้งเอาหัวพรรคมา แล้วมาเปลี่ยนชื่อตามที่พรรคต้องการ แล้วก็ดันแกนนำก้าวไกล ขึ้นมาเป็นกรรมการบริหารแถวสาม รับไม้ต่อจาก “พิธา-ชัยธวัช” ไป นอกจากนี้ พวกสส.ก้าวไกลสมัยที่แล้ว โดยเฉพาะพวกที่ไม่ได้เป็นกรรมการบริหารพรรค แม้รอดไม่โดนโทษแบน แต่ก็อาจโดนป.ป.ช.เอาผิด กรณีเคยเข้าชื่อกันเสนอร่างกฎหมายแก้ไขมาตรา 112 ซึ่งการเอาผิดดังกล่าว มีคนไปยื่นร้องไว้กับ กกต.แล้ว แต่ที่ผ่านมา ป.ป.ช.ไม่ได้ขยับอะไร เพราะรอผลคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญนั่นเอง

ขณะที่ “เศรษฐา-นายกฯ” หากไม่รอด โดนศาลรัฐธรรมนูญฟันจนหลุดจากเก้าอี้นายกฯ

ผลที่ตามมาก็คือ “รมต.-ครม.ทั้งคณะ” ก็พ้นจากตำแหน่งตามนายกฯไปด้วย อยู่ที่ว่า “ทักษิณ-พรรคเพื่อไทย” จะใช้วิธีเสนอชื่อ “เศรษฐา” กลับมาเป็นนายกฯอีกครั้งให้สภาโหวตเป็นนายกฯอีกรอบนั้น คงไม่น่าจะทำได้ เพราะศาลรัฐธรรมนูญคงมีการระบุในคำวินิจฉัยว่า “เศรษฐา” ไม่ปฏิบัติตามประมวลจริยธรรมฯ ดังนั้นถ้าจะมาเสนอชื่อเป็นนายกฯอีกรอบ ก็คงโดนฝ่ายค้านยื่นศาลรัฐธรรมนูญตีความแน่นอน

นั่นหมายถึง ถ้า “เศรษฐา” ไม่รอด ก็ต้องมีการตั้งรัฐบาลกันใหม่-โหวตนายกฯกันใหม่

ถ้าหากพรรคร่วมรัฐบาล 314 เสียง ยังเกาะกันแน่น “ทักษิณ ชินวัตร” ก็คงต้องเจรจาต่อรองว่า พรรคเพื่อไทยยังคงขอเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลและเสนอชื่อแคนดิเดตนายกฯของพรรคเพื่อไทยให้สภาโหวตฯเห็นชอบ ซึ่งแคนดิเดตของพรรคเพื่อไทย ก็เหลือ 2 คนคือ “อุ๊งอิ๊ง-แพทองธาร ชินวัตร” และ “ชัยเกษม นิติศิริ”

ลำดับแรก ต้องดูว่า “ทักษิณ” และ “คุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์” จะยอมไฟเขียวให้ “อุ๊งอิ๊ง” ขึ้นเป็นนายกฯเลยหรือไม่ หรือยังไม่กล้า กลัวบุตรสาวยังไม่พร้อม แต่ครั้นจะไปดัน “ชัยเกษม นิติศิริ” ก็มีปัญหาเรื่องอายุ-สุขภาพ หรือว่าจะยอมเปิดทางให้ พรรคอันดับ 2 ของรัฐบาลคือ พรรคภูมิใจไทย ขึ้นมาเป็นแกนนำรัฐบาลและให้ “อนุทิน ชาญวีรกูล” เป็นนายกฯ แล้วล้างไพ่ โควต้ารัฐมนตรีกันใหม่หมด

หากออกมาเป็นสูตรนี้ เท่ากับที่หลายคนจับตามองกันช่วงหลายวันที่ผ่านมาว่า “อนุทิน” ออร่าการเมืองกำลังมาแรง ก็ทำท่ามีเค้าเป็นไปได้ แต่ “อนุทิน” ก็ต้องเสี่ยงบริหารงานยาก เพราะ “ภูมิใจไทย” มีส.ส.แค่ 71 เสียง แต่ “เพื่อไทย” มี 141 เสียง

ดังนั้น มีโอกาสจะโดน “ทักษิณ-เพื่อไทย” ขี่คอตลอดทุกเรื่อง แล้ว “อนุทิน-ภูมิใจไทย” จะยอมหรือไม่ เพื่อแลกกับการเป็นนายกฯแบบไม่คาดฝัน ซึ่งทุกคนดูจะเชื่อว่า “อนุทิน-ภูมิใจไทย” เอาแน่ ถ้า “ทักษิณ” เปิดทางให้

…………………………………………..

คอลัมน์ : ส่องป้อมค่ายการเมือง

โดย “พระจันทร์เสี้ยว”

- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_imgspot_img

Featured

- Advertisment -spot_img
Advertismentspot_imgspot_img
spot_imgspot_img