ไม่มีอะไรเป็นทีเด็ดทีขาดมากนัก สำหรับการแถลงข่าวของ “พรรคก้าวไกล” อย่างเป็นทางการเมื่อวันศุกร์ที่ 2 ส.ค. ที่ถือเป็นแอ็คชั่นโค้งสุดท้าย ก่อนถึงวัน “พิพากษา-ชี้ชะตา” พรรคส้ม-ก้าวไกล ที่ตกเป็นผู้ถูกร้องใน “คดียุบพรรค” ในข้อหาความผิดฐาน “ล้มล้างการปกครองฯ” ที่ศาลรัฐธรรมนูญนัดอ่านคำวินิจฉัยกลางวันพุธนี้ 7 ส.ค. เวลาบ่ายสามโมงตรง
ที่คาดว่าคนไทยทั้งประเทศ ไม่ใช่แค่แฟนคลับ-ด้อมส้ม “ก้าวไกล-พิธา” ที่เคยเลือกพรรคนี้ ในการเลือกตั้งเมื่อปี 2566 ถึง 14 ล้านเสียง แต่คนไทยทั้งประเทศ จะเฝ้าติดตามกันว่า พรรคการเมืองที่ชนะเลือกตั้งและมีสส.มากที่สุดในสภาฯอย่าง “ก้าวไกล” จะได้มีชื่อพรรคนี้ไปถึงการเลือกตั้งรอบหน้าหรือไม่ หรือว่าจะเป็นชื่อใหม่ ถ้า “ก้าวไกล” ไม่รอด โดนมติศาลรัฐธรรมนูญฟันฉับ “ยุบพรรค” ในวันพุธนี้
การแถลงข่าวของ “ชัยธวัช ตุลาธน” หัวหน้าพรรคก้าวไกล ที่มาพร้อมกับ “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ต้องบอกเลยว่า ฉายหนังซ้ำ ประเด็นเดิม เพียงแต่เติมถ้อยคำในการแถลงข่าว ให้สอดรับกับสถานการณ์มากขึ้น เพราะพบว่า เนื้อหาหลักๆ ก็ไม่ได้อะไรแตกต่างไปจากการแถลงข่าวของ “พิธา” ก่อนหน้านี้เมื่อช่วงเดือนมิถุนายน ที่มีการนำเนื้อหาใน “คำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา” ที่ยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญมาแถลง ที่ “พิธา-ก้าวไกล” สรุปประเด็นไว้ 9 ประเด็นที่เป็นสาระสำคัญในการแถลงข่าวรอบนั้น
แต่การแถลงข่าวเมื่อ 2 ส.ค. เป็นการแถลงข่าวชี้แจงเนื้อหาและสรุปข้อต่อสู้ใน “เอกสารคำแถลงปิดคดีแบบลายลักษณ์อักษร” ที่พรรคก้าวไกลส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญเมื่อปลายเดือนมิ.ย. ที่ก็มีเนื้อหาหลักๆ รวมทั้งสิ้น 9 ประเด็นเช่นกัน
มันจึงสรุปได้ว่า คำแถลงปิดคดีของ “ก้าวไกล” ที่ยื่นไปเมื่อช่วงปลายๆ เดือนมิ.ย. เนื้อหาหลักๆ ก็เหมือนกับคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหานั่นเอง
สำหรับ 9 ข้อต่อสู้ ที่พรรคก้าวไกลงัดขึ้นมาสู้คดี เพื่อไม่ให้ตัวเองโดนยุบพรรคและกรรมการบริหารพรรคโดนตัดสิทธิ์การลงสมัครรับเลือกตั้ง สส.เป็นเวลาสิบปีตามคำร้องของกกต.สรุปได้ดังนี้
1.ศาลรัฐธรรมนูญไม่มีอำนาจรับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัย
2.การยื่นคำร้องของ กกต.ในคดีนี้ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
3.คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 3/2567 ไม่มีผลผูกพันในการพิจารณาวินิจฉัยคดียุบพรรคฯ
4.นอกจากการเสนอนโยบายแก้ไขกฎหมายประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 แล้ว การกระทำอื่นตามคำร้อง มิได้เป็นการกระทำของพรรคก้าวไกล
5.การกระทำตามที่ กกต.กล่าวหา มิได้เป็นการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือเป็นการกระทำอันอาจเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข
6.ศาลรัฐธรรมนูญไม่ควรยุบพรรคก้าวไกล
7.แม้ศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำสั่งยุบพรรค ก็ไม่มีอำนาจกำหนดระยะเวลาการเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของกรรมการบริหารพรรค
8.การกำหนดระยะเวลาเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง ของกรรมการบริหารพรรคต้องพอสมควรแก่เหตุ คือสูงสุดไม่เกินห้าปี ไม่ใช่สิบปี
9.การเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง ต้องเพิกถอนเฉพาะของกรรมการบริหารพรรค ที่เกี่ยวข้องกับการกระทำผิด
แน่นอนว่า “แกนนำก้าวไกล” ย่อมรู้สึกผิดหวัง ที่ศาลรัฐธรรมนูญไม่เปิดห้องพิจารณาไต่สวนคดี เพราะเชื่อว่า หากศาลเปิดให้ไต่สวนและมีการถ่ายทอดการเบิกความ-การให้ถ้อยคำของ “พิธา-ชัยธวัช” ตลอดจนพยานปากเอกที่ก้าวไกลขอให้เรียกตัวมาให้ถ้อยคำเช่น “ศ.ดร.สุรพล นิติไกรพจน์” อดีตอธิการบดีธรรมศาสตร์-อดีตคณบดีนิติศาสตร์ ธรรมศาสตร์ ที่เป็นอดีตที่ปรึกษากฎหมายกกต.เสียงข้างน้อยที่ไม่เห็นด้วยกับการส่งเรื่องให้ศาลรธน.ยุบพรรคก้าวไกล ขึ้นมาเบิกความ ทางแกนนำพรรคก้าวไกลเชื่อว่า ถ้ามีการเปิดห้องไต่สวน พรรคก้าวไกลจะมีแต้มต่อในการสู้คดีเพิ่มขึ้นทันที เพราะจะทำให้ได้พูดได้สื่อสาร ได้ตอบโต้-ชี้แจง ประเด็นต่างๆ ด้วยวาจา ที่ย่อมดีกว่าการแค่ส่งหนังสือให้ศาลรัฐธรรมนูญ อีกทั้ง “ก้าวไกล” มั่นใจว่า หาก “ศ.ดร.สุรพล” ที่ถือเป็นหนึ่งในนักกฎหมายมหาชนระดับแถวหน้าของวงการนักกฎหมายมหาชน ขึ้นให้ถ้อยคำว่า พรรคก้าวไกลไม่สมควรโดนยุบพรรค ก็อาจทำให้คดีพลิกได้เช่นกัน
อย่างไรก็ตาม มันก็ทำอะไรไม่ได้มากไปกว่านี้แล้ว ตอนนี้ก็แค่เตรียมนับถอยหลัง รอลุ้นผลคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญวันพุธนี้ 7 ส.ค.กันแบบใจระทึกกันดีกว่า ว่า “รอด-ไม่รอด” แต่ฝ่าย “ก้าวไกล” ก็มั่นใจว่ารอบนี้ ยังไงไม่ว่าผลออกมาแบบไหน ผลการลงมติจะไม่ออกมาแบบเอกฉันท์ 9 ต่อ 0 เหมือนตอนศาลรัฐธรรมนูญตัดสินคดีล้มล้างการปกครองเมื่อ 31 ม.ค.67 แน่นอน
โดยพบว่า ตอนนี้ “ก้าวไกล” ก็ปั่น-สร้างกระแส กดดันศาลรัฐธรรมนูญอย่างต่อเนื่อง ด้วยวิธีการหลายรูปแบบ เพราะยังเชื่อว่า ยังมีโอกาสชนะคดี แต่ขณะเดียวกันก็ไม่ประมาท มีการเตรียมการเจรจาหา “พรรคสำรอง” ไว้รองรับแล้ว หากต้องโดนยุบพรรค ด้วยการจะไป “เซ้งหัวพรรค” ที่ยื่นกับ กกต.มา แล้วทำการเปลี่ยนชื่อพรรค-เปลี่ยนกรรมการบริหารพรรค ให้สอดคล้องกับความเป็น “ก้าวไกล-อนาคตใหม่” ที่ก็คือ ยังไงก็ต้องคง “แบรนด์พรรคส้ม” ไว้ต่อไป
แต่ถ้ามีเซอร์ไพร์สใหญ่ “ก้าวไกล” รอด ไม่โดนยุบพรรค วันที่ 7 ส.ค.ที่มีการนัด “ด้อมส้ม-สส.” ให้มารวมตัวกัน ณ ที่ทำการพรรค ก็คงปิดพรรคฉลองใหญ่ ให้หายอัดอั้นกันไปเลย
………………………..
คอลัมน์ : ส่องป้อมค่ายการเมือง
โดย..“พระจันทร์เสี้ยว”