อยู่ในช่วง “ขาลง-ดวงตก” ทางการเมืองอย่างแท้จริงสำหรับ “ลุงป้อม-พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ” หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ
เพราะจากที่เคยเป็น “พี่ใหญ่ 3 ป.บูรพาพยัคฆ์” ที่เคยรุ่งเรืองสุดขีด ในช่วงยุคปี 2557 หลัง รัฐประหาร “คสช.” ต่อเนื่องถึงยุค “รัฐบาลลุงตู่-พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” หลังเลือกตั้งปี 2562 ที่แม้อำนาจอาจลดลงไปบ้าง เมื่อเทียบกับยุค คสช. เพราะจากที่ “ลุงป้อม” เคยเป็น “รองนายกฯควบรมว.กลาโหม” แล้วมาเหลือแค่ “รองนายกฯตำแหน่งเดียว”
แต่ต่อมา “บิ๊กป้อม” ก็เข้าไปเป็น “หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ” เต็มตัว หลัง “หลบอยู่หลังฉาก” มานาน ก็ทำให้ “พล.อ.ประวิตร” ยังคงเป็น “ศูนย์กลางอำนาจทางการเมือง” อยู่ จนถึงช่วงใกล้เลือกตั้งปี 2566 เมื่อ “พล.อ.ประยุทธ์” แยกตัวออกไปตั้ง “พรรครวมไทยสร้างชาติ” ก็ทำให้ “พรรคพลังประชารัฐ” อ่อนแรงลงทันที
จนสุดท้าย ผลเลือกตั้งออกมา “พลังประชารัฐ” จากที่เป็นพรรคหลักตอนปี 2562 เคยมีสส. 100 กว่าคน ก็เหลือแค่ 40 คน และกลายเป็นแค่พรรคร่วมรัฐบาลให้กับ “เพื่อไทย”
นับแต่นั้น “อำนาจ-บารมี” ของ “ลุงป้อม” และ “บ้านป่ารอยต่อฯ” ก็ลดน้อยลงทันที !!!
ยังดีที่ “พลังประชารัฐ” ได้เป็นพรรคร่วมรัฐบาล และส่งน้องชาย “บิ๊กป๊อด-พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ” ไปเป็นรองนายกฯและรมว.ทรัพยากรธรรมชาติได้ รวมถึงยังมีกลุ่มสว.ในเครือข่ายบ้านป่าฯอีกประมาณ 50-60 คนจาก 250 คนในสว.ชุดที่แล้ว ตลอดจน “ขุมอำนาจที่วางไว้ในองค์กรต่างๆ” เช่น “คณะกรรมการ ป.ป.ช.-คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน-กรรมการ กสทช.” เป็นต้น ก็ยังมีคนในเครือข่ายบ้านป่าฯนั่งประจำการอยู่ ทำให้ “พล.อ.ประวิตร-บ้านป่าฯ” ยังเป็นที่เกรงอกเกรงใจของ “ฝ่ายทักษิณ” และ “เพื่อไทย” อยู่บ้าง…ในช่วงหนึ่งปีก่อนหน้านี้
แต่เมื่อเวลาทอดผ่านไปเรื่อยๆ “สว.ชุดที่แล้ว” ที่มี “คนของบิ๊กป้อม” จำนวนหนึ่งและ “คนของบิ๊กตู่-พล.อ.ประยุทธ์” อีกจำนวนหนึ่ง รวมๆ แล้วก็ร่วมสองร้อยคน พ้นจากตำแหน่ง-หมดวาระไป และเมื่อเริ่มมี “สว.ชุดใหม่ 200 คน” ฝ่ายบ้านป่าฯก็พยายาม ดึงสว.เข้าบ้านป่าฯจำนวนไม่น้อย เพื่อหวังสร้างฐานอำนาจสว.ชุดใหม่ขึ้นมา แต่ก็พบว่า ได้มาไม่ถึงสิบคนด้วยซ้ำ เพราะส่วนใหญ่ไปอยู่กับ “สายพรรคสีน้ำเงิน-บ้านใหญ่บุรีรัมย์” หมด ที่มีร่วมๆ 150 คน
ทำให้ “บ้านป่ารอยต่อฯ” เลยไม่มีฐานอำนาจในสภาสูง ไว้เป็นเครื่องมือทางการเมืองเหมือนที่ผ่านมา
ผนวกกับช่วงนี้ “ขุมข่ายของบ้านป่าฯ” ในองค์กรอิสระต่างๆ ก็เริ่มหมดวาระกันไปเรื่อยๆ อย่าง “พล.ต.อ.วัชรพล ประสานราชกิจ” อดีตหน้าห้องพล.อ.ประวิตร ตอนเป็นรองนายกฯยุค คสช. ก็เพิ่งพ้นจากตำแหน่ง “ประธานป.ป.ช.” ไปเมื่อ 6 กย.ที่ผ่านมา เพราะอยู่ครบวาระเก้าปีเต็มๆ หรือ “พล.อ.ชนะทัพ อินทรามระ” ประธาน คตง. ที่เป็นบอร์ดใหญ่คอยคุม “สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน” (สตง.) ซึ่งพล.อ.ชนะทัพเข้ามาในยุคคสช. จนถูกมองว่า เป็นคนของสาย 3 ป.บ้านป่าฯ ก็อยู่ครบวาระแล้ว กำลังรอ คตง.ชุดใหม่เข้ามา
เรียกได้ว่า ขุมกำลังของบ้านป่าฯ ทั้งในสภาสูงและองค์กรอิสระ ค่อยๆ หายไปเรื่อยๆ
ร้ายแรงไปกว่านั้นคือ “ทักษิณ ชินวัตร” ถีบ “พรรคพลังประชารัฐ” ออกจาก “รัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร” และดึง “กลุ่มร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า” ให้แยกตัวออกมาจาก “พลังประชารัฐและบ้านป่าฯ”
ทำให้ “พลังประชารัฐ” แตกยับเยิน กลายสภาพเป็น “พรรคที่มี สส.สองฝั่งในเวลาเดียวกัน” อย่างชัดเจนคือ 20 คนอยู่ฝั่ง “ธรรมนัส” ที่เป็นพวกอยู่ฝ่ายรัฐบาล และอีก 20 คนอยู่ฝั่ง “บ้านป่าฯ” ที่เป็นฝ่ายค้าน
แผนทุบพรรคพลังประชารัฐ “เอาคืน 3 ป.” รอบนี้ของ “ทักษิณ” ทำเอา “พล.อ.ประวิตร” แทบกระอักเลือด แต่ต้องเก็บอาการไว้
เพราะสภาพขาลงของ “บ้านป่าฯ” ยังไม่น่าหมดแค่นี้ เพราะสส. 20 คนในสายบ้านป่าฯที่อยู่ๆ กันตอนนี้ หลายคนเชื่อว่า ถึงเวลาใกล้เลือกตั้งใหญ่รอบหน้า ก็น่าจะ “ทิ้งลุง” ไปอยู่พรรคอื่น
ไม่ว่าจะเป็น “กลุ่มมะขามหวาน-เพชรบูรณ์” ของ “สันติ พร้อมพัฒน์” อดีตเลขาธิการพรรคพปชร. ที่มีสส.เขตเพชรบูรณ์ทั้งจังหวัดรวม 6 คน หรือ สส.กำแพงเพชร “กลุ่มวราเทพ รัตนากร” ผอ.พรรคพลังประชารัฐที่มี สส.กำแพงเพชร ด้วยกัน 3 คน รวมถึง “กลุ่มเทียนทอง” ของ “ขวัญเรือน เทียนทอง” และ “ตรีนุช เทียนทอง” สองส.ส.เขตสระแก้ว ก็มีข่าวลือตลอดว่า เคลียร์ใจกับเครือญาติเทียนทองด้วยกัน ผ่าน “สรวงศ์ เทียนทอง” เลขาธิการพรรคเพื่อไทย-รมว.ท่องเที่ยวฯ เรียบร้อยแล้ว
โดยคาดว่า “กลุ่มเทียนทองสายขวัญเรือน-ตรีนุช” อาจย้ายกลับ “เพื่อไทย” ในการเลือกตั้งรอบหน้า ขณะที่ “กลุ่มสันติ-วราเทพ” ข่าวว่าแนวโน้ม หากย้ายพรรค ก็น่าจะไปที่ “พรรคภูมิใจไทย” ของ “เนวิน ชิดชอบ-อนุทิน ชาญวีรกูล” มากกว่าที่จะกลับ “เพื่อไทย”
ที่เชื่อว่า ลึกๆ “ลุงป้อม” ก็รู้ดีว่า เมื่อปี่กลองการเมืองการเลือกตั้งรอบหน้ามาถึง หลายคนใน “พลังประชารัฐ” น่าจะไปหาพรรคใหม่อยู่ เพราะคงมองแล้วว่า “พลังประชารัฐไปต่อลำบาก” ยิ่งหากต้องลงเลือกตั้งในสภาพ พลังประชารัฐเป็นฝ่ายค้านแบบนี้ไป 3 ปี แล้วไปลงเลือกตั้ง เสียเปรียบคู่แข่งแน่นอน อีกทั้งดูจากหน้าตักแล้ว ยังไง “กระสุนดินดำ” ของ “พลังประชารัฐ” ต่อจากนี้ในการเป็นฝ่ายค้าน ก็จะไม่มากเหมือนตอนเลือกตั้งปี 2562 กับ 2566
ทำให้แนวโน้ม “พลังประชารัฐ” พรรคแตกแน่นอน เมื่อเลือกตั้งมาถึง และตอนนี้หลายคน โดยเฉพาะพวกอดีตสส.สอบตก ไม่รอถึงเลือกตั้งรอบหน้า “บางกลุ่มก็ชิ่งหนีลุงป้อม” แล้ว เช่น กลุ่มบ้านใหญ่โคราชตระกูลรัตนเศรษฐ์ ของ “วิรัช” ที่เลือกตั้งที่ผ่านมา สอบตกหมดทั้งครอบครัว แต่ตอนนี้ก็เริ่มทยอยลาออกจากพลังประชารัฐ ไปอยู่กับ “กลุ่มธรรมนัส” เพราะคงมองแล้วว่า อยู่กับ “ลุงป้อม-พลังประชารัฐ” ที่เป็นฝ่ายค้านต่อไป แห้งเหี่ยวแน่
แค่นั้นไม่พอ ตอนนี้ “ลุงป้อม” ก็ยังโดน “สื่อบางราย” เล่นไม่เลิก ขุดเอาคลิปเสียงอะไรต่างๆ มานำเสนอรัวๆ เล่นไปแล้ว 5 คลิป ที่เนื้อหาในคลิปเสียง ทำให้ผู้คนคิดกับ “พล.อ.ประวิตร” ในทางลบมากกว่าทางบวก จน “พล.อ.ประวิตร” สุดทน ต้องให้ “ไพบูลย์ นิติตะวัน” เลขาธิการพรรคพปชร. เอาคืน ฟ้องทั้ง “อาญา-แพ่ง” เรียกค่าเสียหาย 50 ล้านบาท
ถึงได้บอกว่า ช่วงนี้ “ลุงป้อม” อยู่ในช่วง “ขาลง-ดวงตกทางการเมือง” ถือเป็นยุคตกต่ำที่สุดในรอบเกือบ 10 ปี ของบ้านป่าฯ จากที่เคยรุ่งเรือง เป็นศูนย์กลางอำนาจทางการเมืองและทหาร เจอแบบนี้ ถ้าทำใจกันไม่ได้ รับรองจิตตก ซึมเศร้า แน่นอน!!!
อย่างไรก็ตาม ในวงการทหาร มีคำพูดอมตะที่ว่า “ทหารแก่ไม่มีวันตาย” ก็ต้องดูกันว่า “ลุงป้อม-บ้านป่าฯ” จะกลับมาผงาดได้อีกครั้ง เพื่อชำระแค้น “คนที่ทำให้เจ็บ” โดยเฉพาะ “ทักษิณ-ธรรมนัส” ได้หรือไม่?
เพราะอย่างก่อนหน้านี้ ก็ลือกันว่า “บ้านป่าฯ” มี “คลิปเสียง” ที่ “ทักษิณ” เปิดบ้านจันทร์ส่องหล้าฯเรียกแกนนำพรรคร่วมรัฐบาลไปคุยเมื่อ 14 ส.ค.ทันทีหลัง “เศรษฐา ทวีสิน” หลุดนายกฯ ซึ่งวันนั้นจะพบว่ามี “พล.ต.อ.พัชรวาท” น้องชายลุงป้อม ไปร่วมหารือด้วย
จนลือกันว่า หากเข้าตาจนจริงๆ บ้านป่าฯอาจปล่อยคลิปเสียงหรือหลักฐานอะไรบางอย่างว่า “ทักษิณครอบงำเพื่อไทย” ในการตั้งรัฐบาล จนสุดท้ายได้ “แพทองธาร ชินวัตร” มาเป็นนายกฯ ออกมาหรือไม่
ที่ก็ไม่แน่ หาก “บ้านป่าฯ” โดนรุกหนักมากๆ และคิดว่าไม่มีอะไรจะเสีย ก็อาจปล่อยหมัดเด็ด อะไรออกมาให้ฮือฮาเล่น เพื่อแสดงให้เห็นว่า “ทหารแก่ไม่มีวันตาย” เป็นเรื่องจริง ไม่ใช่พูดเอาเท่ห์
………………………
คอลัมน์ : ส่องป้อมค่ายการเมือง
โดย…“พระจันทร์เสี้ยว”