วันพุธ, ตุลาคม 23, 2024
spot_img
หน้าแรกCOLUMNISTS“จันทร์ส่องหล้า”ระส่ำ-“เพื่อไทย”หนาว “กกต.”ตั้งแท่นสอบคดีถึงขั้นยุบพรรค!!
- Advertisment -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

“จันทร์ส่องหล้า”ระส่ำ-“เพื่อไทย”หนาว “กกต.”ตั้งแท่นสอบคดีถึงขั้นยุบพรรค!!

แม้ แกนนำพรรคเพื่อไทย แสดงท่าที ไม่หนักใจ-ไร้ความกังวล กับความเสี่ยงทางการเมืองที่จะตามมาหลังจากนี้ หลัง คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ตั้งแท่นสอบสวน “คำร้อง” ที่มีผู้ร้องหลายฝ่ายยื่นคำร้องให้ “นายทะเบียนพรรคการเมือง” พิจารณา “ยุบพรรคเพื่อไทย” และ “พรรคการเมือง” ที่เคย “ร่วมรัฐบาลเศรษฐา ทวีสิน”

ซึ่งรวมถึง “พรรคพลังประชารัฐ” ที่ปัจจุบันเป็นฝ่ายค้าน กรณีปล่อยให้ “ทักษิณ ชินวัตร” ซึ่งไม่ใช่สมาชิกพรรคกระทำการ “ครอบงำ-ชี้นำ” ในการจัดตั้งรัฐบาล เมื่อวันที่ 14 ส.ค.

ที่เป็นวันเดียวกับที่ศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้ “เศรษฐา ทวีสิน” พ้นจากตำแหน่งนายกฯ แล้วจากนั้น “แกนนำพรรคร่วมรัฐบาล” ไปนัดหารือกันที่ “บ้านจันทร์ส่องหล้า” ของ “ทักษิณ” เพื่อหารือร่วมกันตั้งรัฐบาล

ซึ่ง “นายทะเบียนพรรคการเมือง” ที่ชื่อ “แสวง บุญมี” และฝ่ายที่เกี่ยวข้องในการพิจารณาคำร้อง เห็นว่า คำร้องมีมูล จึงให้ตั้งคณะกรรมการสอบสวน โดยให้ดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 30 วัน แต่สามารถขอขยายได้อีก ครั้งละไม่เกิน 30 วัน จนกว่าจะแล้วเสร็จ

งานนี้…ว่ากันตามสภาพ แม้พรรคการเมืองอีก 5 พรรคคือ “พรรคภูมิใจไทย-พรรคพลังประชารัฐ-พรรครวมไทยสร้างชาติ-พรรคชาติไทยพัฒนา-พรรคประชาชาติ” จะมีความเสี่ยงเช่นกัน แต่หากดูตามข้อกฎหมายตามพ.ร.บ.พรรคการเมือง แล้ว “พรรคเพื่อไทย” มีความเสี่ยงมากที่สุด

เพราะในทางการเมืองและข้อกฎหมาย สามารถโยงไปถึงพรรคเพื่อไทยได้โดยตรง จากหลายเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ เช่น

การที่ “ทักษิณ” เป็นผู้ก่อตั้งพรรคไทยรักไทย ที่ก็คือ พรรคเพื่อไทยในปัจจุบัน

-การเป็นบิดาของ “แพทองธาร ชินวัตร” นายกฯและหัวหน้าพรรคเพื่อไทย

-การเดินทางไปที่พรรคเพื่อไทยของ “ทักษิณ” อย่างเป็นทางการ หลังออกจากรพ.ตำรวจเพียงไม่กี่วัน

-การที่พรรคเพื่อไทยปล่อย “คลิปทักษิณ” ที่ให้สส.พรรคเพื่อไทย เข้าหาประชาชนให้มากขึ้น และปฏิเสธว่าพรรคเพื่อไทยไม่ใช่พรรคอนุรักษ์นิยมใหม่ กลางงานประชุมใหญ่พรรคเพื่อไทยประจำปี 2567

-การที่มีการเดินทางไปบ้านจันทร์ส่องหล้า เมื่อ 14 ส.ค. ก็เพราะพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำพรรคร่วมรัฐบาล

-การเดินทางไปตึกชินวัตร ในช่วงการจัดตั้งรัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร และให้สัมภาษณ์หลายเรื่อง ถึงเรื่องการตั้งรัฐบาล เช่น การยืนยันว่า “แพทองธาร” จะไม่ควบรมว.กลาโหม

-การไปกล่าวบนเวที วิสัยทัศน์ งาน DINNER TALK : VISION FOR THAILAND 2024 เมื่อ 22 ส.ค. ที่มีการพูดถึง “นโยบายของรัฐบาล” ล่วงหน้า เช่น ดิจิทัลวอลเล็ตฯ เป็นต้น

ลำพังแค่นี้ จุดเชื่อมโยงระหว่าง “ทักษิณ” กับ “เพื่อไทย” จึงมีมากกว่าพรรคอื่นๆ ถ้า “กกต.” จะเอาผิด “ทักษิณ” กับ “เพื่อไทย” จริง จึงทำให้ “เพื่อไทย” มีความเสี่ยงมากกว่าพรรคการเมืองอื่น

แต่ถามว่า จุดที่ “จะทำ” ให้เรื่องนี้สิ้นสุดลงใน “ชั้นกกต.” คดีไม่ไปถึงศาลรัฐธรรมนูญ…มีหรือไม่ หรือต่อให้ “กกต.” ส่งคำร้องยุบพรรคไปที่ศาลรัฐธรรมนูญขึ้นมา…โอกาสรอดมีหรือไม่???

ก็ต้องบอกว่า ก็ยังมีอยู่ เช่น ตัวทักษิณกับแกนนำพรรคร่วมรัฐบาลเหล่านั้น ยกเว้น “พลังประชารัฐ” ที่ตามข่าววันนั้นมีคนไปเข้าบ้านจันทร์ส่องหล้า เช่น ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า อดีตเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ-สันติ พร้อมพัฒน์  ทั้งหมด ก็ต้องชี้แจงกับ “กกต.” หรือให้ถ้อยคำกับศาลรัฐธรรมนูญที่ตรงกันหมด

ทำนองว่า แค่แวะไปกินข้าวหรือไปพูดคุยกับ “ทักษิณ” เพื่อหารือการเมืองปกติ ว่าจะเอาอย่างไร หลัง “เศรษฐา” พ้นจากนายกฯ โดยตัว “ทักษิณ” ไม่ได้เข้ามาสั่งการ ไม่ได้ชี้นำการจัดตั้งรัฐบาล ว่าให้โหวตเอาใครเป็นนายกฯแต่อย่างใด อันนี้ก็เป็นทางรอดหนึ่ง ที่อาจทำให้ “ทั้งหมด” รอดจากคดียุบพรรค

ส่วนทางรอดอีกทางหนึ่งก็คือ ก็ต้องสู้ว่า แม้ตามข่าวที่ปรากฏออกมา ว่าวันดังกล่าว เสียงส่วนใหญ่เห็นชอบให้สนับสนุน “ชัยเกษม นิติศิริ” แคนดิเดตนายกฯ ของเพื่อไทยเป็นนายกฯ แต่ปรากฏว่าสุดท้าย กรรมการบริหารพรรคเพื่อไทยและส.ส.ของเพื่อไทย ก็มีมติให้สนับสนุน “แพทองธาร ชินวัตร” เป็นนายกฯ

รวมถึงจากนั้นแต่ละพรรค ก็มีมติให้สนับสนุน “แพทองธาร” เป็นนายกฯ ดังนั้นที่ไปคุยกันที่บ้านจันทร์ส่องหล้า จึงไม่ได้มีความหมายอย่างใด เพราะสุดท้ายคนที่เป็นนายกฯก็คือ “แพทองธาร” ไม่ใช่ “ชัยเกษม” ตามที่เป็นข่าวแต่อย่างใด

โดย “เพื่อไทย” และพรรคการเมืองทั้งหมด ต้องสู้ในประเด็นที่ว่า เมื่อเป็นแบบนี้ จึงเห็นได้ว่า “ทักษิณ” ไม่ได้มีอำนาจในการสั่งการ-ชี้นำ การจัดตั้งรัฐบาลแต่อย่างใด

เพราะสุดท้าย ต้องเป็นไปตามมติกรรมการบริหารพรรค-มติสส.ของพรรค

ดังนั้น โอกาสที่ “ทักษิณ-เพื่อไทย” และ “พรรคภูมิใจไทย-รวมไทยสร้างชาติ-ชาติไทยพัฒนา-ประชาชาติ” รวมถึง “พลังประชารัฐ” จะรอดในคดียุบพรรค ก็ยังมีโอกาสอยู่ไม่น้อย

เพียงแต่ว่า ทั้งหมดต้องไม่มีใครแตกแถว-แหกโผ ไปชี้แจงกับ “”กกต.” หรือให้ถ้อยคำกับศาลรัฐธรรมนูญ ในทางที่ไม่ทำให้เสี่ยงจะโดนยุบพรรค

ที่จะว่าไป “พรรคพลังประชารัฐ” เอง แม้จะเป็นฝ่ายค้าน และตัวเองตอนนี้ “เป็นอริ” กับ “พรรคเพื่อไทย” ต้องการแก้แค้น “ทักษิณ” ที่ถีบพรรคออกมาเป็นฝ่ายค้าน แต่ “บิ๊กป้อม-พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ” ก็คงต้องคิดหนัก หากจะให้ พลังประชารัฐติดร่างแหเสี่ยงโดนยุบพรรคไปด้วย ยกเว้นแต่…ไม่อยากทำพรรค ไม่เล่นการเมืองต่อไปแล้ว ก็อาจเปิดหน้าแลก

เช่น ออกมาเปิดเผยรายละเอียด การคุยกันวันดังกล่าว ที่บ้านจันทร์ส่องหล้า โดยอ้างว่า คนที่ไปร่วมประชุม เช่น “ธรรมนัส” มาเล่าให้ “พล.อ.ประวิตร” หรือแกนนำพรรคฟัง ว่า “ทักษิณ” เข้ามาจัดการเรื่องการตั้งรัฐบาลอย่างไร เพื่อแสดงให้เห็นว่า “ทักษิณ” มีบทบาทในการจัดตั้งรัฐบาลเพื่อไทยอย่างไร ทั้งที่ตัว “ทักษิณ” ไม่ได้เป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทย 

อย่างไรก็ตาม ต้องถามว่า กรรมการบริหารพรรคพลังประชารรัฐคนอื่นๆ ในพรรค จะกล้าเสี่ยงหรือไม่ โดยเฉพาะพวกกรรมการบริหารพรรคทั้งหลาย ที่อาจโดนตัดสิทธิการเลือกตั้งไปด้วย 10 ปี เพราะส่วนใหญ่ก็อยากเล่นการเมืองต่อ ไม่เหมือนพล.อ.ประวิตร ในวัยแปดสิบปี ที่อาจอยากเลิกแล้ว เลยไม่สนใจอะไร หากจะต้องโดนตัดสิทธิเลือกตั้ง 10 ปีไปด้วยในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ  แต่พร้อมเปิดหน้าชนกับ “ทักษิณ-เพื่อไท“” แต่เชื่อว่ากรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐคนอื่นอาจไม่ยอม  

เว้นแต่ “ลุงป้อม-สายบ้านป่าฯ” จะใช้โอกาสนี้ต่อรองกับ “ทักษิณ-เพื่อไทย” บางอย่าง ในฐานะ “ผู้กุมความลับ” ที่บ้านจันทร์ส่องหล้าฯเอาไว้ ถ้ามั่นใจว่า ตัวเองสามารถต่อรองได้

สำหรับ มาตรา 28 ตามพ.ร.บ.พรรคการเมืองฯ ที่จะเอาผิดในคดีนี้ได้ บัญญัติว่า “ห้ามมิให้พรรคการเมืองยินยอมหรือกระทําการใดอันทําให้บุคคลอื่น ซึ่งมิใช่สมาชิก กระทําการอันเป็นการควบคุม ครอบงํา หรือชี้นํา กิจกรรมของพรรคการเมืองในลักษณะที่ทําให้พรรคการเมืองหรือสมาชิกขาดความอิสระ ทั้งนี้ ไม่ว่าโดยทางตรงหรือโดยทางอ้อม”

ส่วนโทษความผิดหากศาลรัฐธรรมนูญชี้ว่า มีความผิดจริงตามคำร้องของ กกต. ก็คือ “ยุบพรรคการเมือง” และเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของคณะกรรมการบริหารพรรคการเมืองนั้นได้ถึง 10 ปี

และ มาตรา 29 ที่บัญญัติว่า “ห้ามมิให้ผู้ใดซึ่งมิใช่สมาชิกกระทําการใดอันเป็นการควบคุม ครอบงํา หรือชี้นํากิจกรรมของพรรคการเมืองในลักษณะที่ทําให้พรรคการเมืองหรือสมาชิกขาดความอิสระ ทั้งนี้ ไม่ว่าโดยทางตรงหรือโดยทางอ้อม”

โดยหากศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่า มีความผิดจริง ตามมาตราดังกล่าว บทลงโทษถึงขั้น “จำคุก” เป็นเวลา 5-10 ปี ปรับตั้งแต่ 100,000 บาท ถึง 200,000 บาท หรือทั้งจำ-ทั้งปรับ รวมถึงให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งผู้นั้นด้วยตามมาตรา 108

เมื่อเป็นแบบนี้ แกนนำแต่ละพรรคการเมืองที่ไปร่วมหารือที่บ้านจันทร์ส่องหล้าฯ จึงไม่น่าจะเอาตัวเองเข้าเสี่ยง ยังไง ก็คงต้องพูดไปในทางเดียวกันว่า “ทักษิณ” ไม่ได้ครอบงำ เว้นเสียแต่มี “คลิปเสียง-คลิปลับ” ในวงสนทนาหลุดออกมา ถ้าแบบนี้…ก็ระทึกเลย !!!

…………….

คอลัมน์ : ส่องป้อมค่ายการเมือง

โดย….“พระจันทร์เสี้ยว”

- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_imgspot_img

Featured

- Advertisment -spot_img
Advertismentspot_imgspot_img
spot_imgspot_img