เส้นทางการกลับเข้าสู่อำนาจทางการเมืองและเศรษฐกิจอีกครั้งของ “เสี่ยโต้ง-กิตติรัตน์ ณ ระนอง” กับเก้าอี้ “ประธานคณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย” หรือ “ประธานบอร์ดแบงก์ชาติ” ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ต้องนำชื่อขึ้นทูลเกล้าฯเพื่อให้พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งฯ ทำท่าจะไม่ราบรื่นเสียแล้ว
หลังแรงต้านจากหลายฝ่าย ทั้ง “อดีตผู้ว่าฯธปท.-อดีตพนักงานธปท.-กลุ่มนักวิชาการสายเศรษฐศาสตร์” เป็นต้น ที่ชักธง “คัดค้าน” ไม่ให้ “การเมือง-รัฐบาล” เข้าครอบงำแทรกแซง “แบงก์ชาติ” ผ่านแผนส่งคนของตัวเองที่ก็คือ “กิตติรัตน์” ผ่านกระทรวงการคลัง โดย “พิชัย ชุณหวชิร” รมว.คลัง เป็นผู้เสนอชื่อไป
ถึงตอนนี้พบว่า แรงต้าน-กระแสคัดค้าน ยังแรงไม่ตก ด้วยเหตุว่า กลุ่มที่ออกมาเคลื่อนไหวคัดค้าน มองว่าเป็นแผนของฝ่ายการเมืองที่ต้องการส่ง “กิตติรัตน์” เข้าไปยึด “บอร์ด ธปท.” ที่จะมีผลต่อการบริหารงานของ ธปท. ไปอีกหลายปีได้ รวมถึงจะมีผลต่อการสรรหาคัดเลือก “ผู้ว่าฯธปท.คนใหม่” ในปีหน้า ที่จะมาแทน “ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ” ผู้ว่าฯธปท. ที่จะหมดวาระในปีหน้า และอาจไม่สมัครเข้ารับการคัดเลือกเป็นสมัยที่สอง
กระแสคัดค้าน “เสี่ยโต้ง-กิตติรัตน์” เห็นได้ชัดว่า เริ่มแรงขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้ การประชุมคณะกรรมการสรรหาประธานบอร์ดแบงก์ชาติ วันที่ 4 พ.ย.ฯ สุดท้ายแล้ว “เสี่ยโต้ง” อาจไปไม่ถึงฝั่งฝัน ในการจะเข้าไปคุมธนาคารกลางของประเทศไทย ผ่านเก้าอี้ “ประธานบอร์ดธปท.” ก็ได้
หรือสุดท้าย หากคณะกรรมการสรรหาฯไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น จะเอา “กิตติรัตน์” เป็นประธานบอร์ดธปท.ให้ได้ จนเคาะชื่อออกมา แต่สิ่งที่จะตามมาก็คือ
“การยอมรับ-ความเชื่อถือ” ในตัว “เสี่ยโต้ง-กิตติรัตน์”
ก็อาจมีปัญหาตั้งแต่เริ่มทำงาน และอาจทำให้ปัญหาการ “ปีนเกลียว” กันระหว่าง “ธปท.” กับ “รัฐบาลเพื่อไทย” ที่ผ่อนคลายลง หลัง “กนง.” ยอมปรับลดดอกเบี้ยลงเมื่อต.ค.ที่ผ่านมา อาจกลับมาปะทุอีกครั้ง หาก “เสี่ยโต้ง” เข้าไปเป็น “ประธานบอร์ดธปท.”
จุดนี้…ต้องรอดูผลการประชุมคณะกรรมการสรรหาประธานบอร์ดธปท.คนใหม่ ที่มี “สถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธุ์” อดีตปลัดฯ คลัง-อดีตสว.ชุดที่แล้ว เป็นประธานฯ ว่าจะเลือก “กิตติรัตน์” เคาะให้จบวันที่ 4 พ.ย.นี้เลยหรือไม่ หรือว่าจะซื้อเวลาออกไปอีก ด้วยการเลื่อนการเคาะออกไป
กระนั้น หากเลื่อนออกไปอีก ก็จะถูกมองว่า ไม่กล้าตัดสินใจ-ซื้อเวลา เว้นแต่อาจหวังบางอย่าง เช่น ยืดเวลาออกไป เพื่อให้ “กิตติรัตน์” ถอนตัวออกไปเอง หรือไม่แน่ กรรมการสรรหาฯอาจเคาะชื่ออื่นที่เสนอมาอีก 2 ชื่อคือ “กุลิศ สมบัติศิริ” อดีตปลัดกระทรวงพลังงาน และ “ศ.ดร.สุรพล นิติไกรพจน์” นายกสภามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และอดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
เชื่อได้ว่า หากเลือกได้ ฝ่ายการเมืองคงอยากได้ “กุลิศ” มากกว่า “ศ.ดร.สุรพล” แน่นอน เพราะยังถือว่ามีประสบการณ์ด้านการเงินการคลัง เพราะจริงๆ แล้วก็เป็นลูกหม้อของกระทรวงการคลัง เคยเป็นอดีตอธิบดีกรมศุลกากร -อดีตผอ.สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) อดีตผู้ตรวจกระทรวงการคลัง ขณะที่ “ศ.ดร.สุรพล” ไม่เคยมีประสบการณ์ด้านนี้
ซึ่งจะว่าไปแล้ว คณะกรรมการสรรหาฯมีเหตุผลที่จะไม่เลือก “กิตติรัตน์” ก็ได้ เช่น เกรงจะมีปัญหาเรื่องข้อกฎหมาย เพราะเมื่อเดือนต.ค.ที่ผ่านมา คณะกรรมการป.ป.ช. มีมติให้ยื่นอุทธรณ์คดีขายข้าวให้อินโดนีเซีย หรือคดีบูล็อค ที่ศาลฎีกาฯยกฟ้องกิตติรัตน์ และมีการส่งเรื่องไปให้อัยการสูงสุดทำความเห็นยื่นอุทธรณ์ต่อศาลฎีกาฯ
ที่ถึงต่อให้อัยการสูงสุดไม่ยื่นอุทธรณ์ฯ ป.ป.ช.ก็สามารถยื่นอุทธรณ์คดีเองได้
ดังนั้น หากให้ “กิตติรัตน์” เป็นประธานบอร์ดธปท.ขึ้นมา ก็อาจมีปัญหาตามมาได้ เช่น ถ้าอัยการสูงสุดหรือป.ป.ช. ยื่นอุทธรณ์ไปแล้ว ศาลฎีกาฯยังไงก็ต้องรับคดีไว้พิจารณาและอาจสั่งให้ “กิตติรัตน์” หยุดปฏิบัติหน้าที่ทางราชการทั้งหมดไว้ก่อน จนกว่าคดีจะตัดสินที่เร็วสุด ก็ใช้เวลาประมาณหนึ่งปี ก็จะทำให้เกิดปัญหาขึ้นมาได้ ที่ “แบงก์ชาติ” จะไม่มีประธานบอร์ดเป็นปีๆ คณะกรรมการสรรหาฯจะโดนด่าเอาง่ายๆ
ตรงนี้ก็มีเหตุผลและมีน้ำหนักพอในการจะไม่เคาะชื่อ “กิตติรัตน์” อย่างที่ฝ่ายการเมืองในกระทรวงการคลัง ที่ตั้งคณะกรรมการสรรหาฯขึ้นมา จะไม่เอา “กิตติรัตน์” เป็นประธานบอร์ดธปท.ได้ หรือไม่แน่…พอถึงวันประชุม 4 พ.ย. หาก “กิตติรัตน์” ประเมินแล้ว แรงต้านแรง ยังไงก็คงฝ่าไปไม่ไหว ก็ชิงถอนตัวไปก่อน ดีกว่าไม่ได้รับเลือก จะเสียหน้ามากกว่า แล้วค่อยไปหวังลุ้นตำแหน่งอื่นต่อไป
เพระว่าไปแล้ว “เสี่ยโต้ง-กิตติรัตน์” ดีกรีทางการเมืองและเศรษฐกิจไม่ธรรมดา ทั้งการเป็น “อดีตรองนายกรัฐมนตรี-อดีตรมว.คลัง-อดีตรมว.พาณิชย์” ยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร, อดีตประธานที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี เศรษฐา ทวีสิน-อดีตกรรมการผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
ซึ่งในทางการเมืองเป็นที่รู้กันดีว่า “กิตติรัตน์” เป็นรุ่นพี่ในกลุ่มก๊วนคนสนิทของ “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” อดีตนายกฯ ที่มี “เศรษฐา ทวีสิน” รวมอยู่ด้วย ตั้งแต่สมัยยิ่งลักษณ์ยังไม่เข้าสู่การเมือง ในยุคเป็นประธานกรรมการบริหารบริษัทแอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ “เอไอเอส” ในเครือชิน คอร์ปอเรชั่น และประธานกรรมการบริหารบริษัทเอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)
จึงไม่แปลกที่ สมัย “ยิ่งลักษณ์” เป็นนายกฯ จะให้บทบาทความสำคัญกับ “กิตติรัตน์” อย่างมากถึงขั้นเรียกได้ว่า เป็น “หัวหน้าทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลยิ่งลักษณ์” เลยทีเดียว
จนเมื่อ “ยิ่งลักษณ์” พ้นจากตำแหน่งนายกฯ หนีคดีไปต่างประเทศ บทบาทของ “กิตติรัตน์” ก็ค่อยๆ หายไปในยุคคสช. แต่มีข่าวว่าเจ้าตัว ก็พยายามเข้าไปมีบทบาทในพรรคเพื่อไทยอยู่ตลอด
อย่างที่รู้กัน “เพื่อไทย” เป็นพรรคใหญ่ มีหลายกลุ่มก๊วนการเมือง ที่แย่งกันแสดงบทบาท ตัว “กิตติรัตน์” ไม่มีสส. ในมือ อาศัยแค่ว่า มี “ยิ่งลักษณ์” คอยแบ็คอัพให้ ก็เลยพอมีที่มีทางบ้างในพรรคเพื่อไทย แต่คนในเพื่อไทยหลายกลุ่มก็ไม่ให้การยอมรับ ไม่เปิดพื้นที่ให้แสดงบทบาทอะไร
แต่โชคดีว่า “เพื่อไทย” ตั้งรัฐบาลแทนพรรคก้าวไกลได้ และ “เศรษฐา” ได้เป็นนายกฯ ก็เลยตั้ง “กิตติรัตน์” เป็นประธานที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี ที่พบว่าเป็น “ทีมงานที่ปรึกษา” ที่ “เศรษฐา” ให้ความสำคัญมาก ทำให้ “กิตติรัตน์” จึงมีบทบาทสูงในรัฐบาลเศรษฐา เรียกได้ว่าเป็นเบอร์ต้นๆ ที่ “เศรษฐา” ไว้วางใจและคอยปรึกษาหารือเรื่องเศรษฐกิจตลอด
จน “กิตติรัตน์” เป็นแค่ไม่กี่คนเท่านั้นในทำเนียบรัฐบาล ที่สามารถเดินขึ้น-ลง ตึกไทยคู่ฟ้า-ห้องนายกฯของ “เศรษฐา ได้ตลอดเวลา
แม้ “เศรษฐา” สนิทและไว้ใจ “เสี่ยโต้ง” ขนาดนี้ แล้วทำไมไม่ตั้งเป็นรัฐมนตรีเสียเลยตอน “เศรษฐา” เป็นนายกฯ เหตุที่ไม่ตั้ง ก็ไม่มีอะไรมาก เพราะช่วงจังหวะเดียวกันนั้น “กิตติรัตน์” มีชนักติดหลังอยู่ เพราะตกเป็นจำเลยต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาฯ ในคดีขายข้าวให้แก่ BULOG ประเทศอินโดนีเซีย ทำให้ “กิตติรัตน์” ไม่สามารถเป็นรมต.ได้ เป็นได้แค่ “ประธานที่ปรึกษาของนายกฯ” ซึ่งเป็นตำแหน่งไม่เป็นทางการเท่านั้น เพื่อรอให้คดีสิ้นสุดเสียก่อน
จนสุดท้าย 11 ก.ค.2567 ศาลฎีกาฯพิพากษายกฟ้อง “กิตติรัตน์” เพราะเห็นว่า ไม่ได้ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ฯ
ซึ่งหาก “เศรษฐา” ไม่หลุดจากนายกฯเสียก่อนเมื่อ 14 ส.ค.67 ไม่แน่ ปรับครม.รอบต่อไป “เศรษฐา-ยิ่งลักษณ์” อาจดัน “กิตติรัตน์” กลับเข้ามาเป็นรมต. แน่นอน
ส่วนที่ว่า แล้วเหตุใด การตั้งครม.ของ “แพทองธาร ชินวัตร” ถึงไม่มีชื่อของ “กิตติรัตน์” ร่วมวงครม.เลย ทั้งที่ศาลฎีกาฯยกฟ้องแล้ว
จุดหนึ่ง คนอาจมองว่า คดียังไม่สิ้นสุด เพราะตามกฎหมาย ป.ป.ช.-อัยการสูงสุด ยังสามารถยื่นอุทธรณ์ได้ ทำให้ “แพทองธาร-ยิ่งลักษณ์” อาจไม่อยากเสี่ยงดัน “กิตติรัตน์” กลับมาเป็นรมต. เพราะเกิดยื่นอุทธรณ์ไปแล้ว ศาลฎีกาฯรับอุทธรณ์ จะทำให้ “กิตติรัตน์” อาจต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ฯ ก็จะมีปัญหาได้ ตรงนี้…ก็มีเหตุผล
แต่ลึกๆ แล้ว ลือกันว่า ยังไงต่อให้ “กิตติรัตน์” ไม่มีชนักติดหลังอะไรแล้ว ก็ยากที่จะมีตำแหน่งการเมืองระดับ “รัฐมนตรี” ในรัฐบาลได้ โดยเฉพาะกับรัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร
เพราะเป็นที่รู้กันว่า “ทักษิณ”…ไม่ปลื้ม-ไม่ไลค์ “เสี่ยโต้ง-กิตติรัตน์” มาตลอด
แต่ที่ยอมให้เป็น รองนายกฯ-รมว.คลัง-รมว.พาณิชย์ ในรัฐบาลน้องสาวตัวเอง ก็เพราะ “ยิ่งลักษณ์” ขอมา “ทักษิณ” ก็ยอมให้ และที่มีชื่อ “กิตติรัตน์” ไปคั่วเก้าอี้ ประธานบอร์ดแบงก์ชาติ แรงดันก็มาจาก “ยิ่งลักษณ์” กับ “พิชัย” รมว.คลัง ที่อยู่กลุ่มก๊วนเดียวกัน ไม่ได้เกี่ยวกับ “ทักษิณ-แพทองธาร”
ยิ่งตอนนี้มาทำให้เกิดภาพว่า รัฐบาลจะเข้าไปแทรกแซงธปท.ที่ไม่เป็นผลดีต่อรัฐบาลแพทองธารด้วย ดูแล้ว “ทักษิณ” คงไม่เอ็นจอยด้วย เพราะเป็นเรื่องที่มากระทบรัฐบาลลูกสาวตัวเอง
เพราะฉะนั้น หาก “กิตติรัตน์” พลาดเก้าอี้ “ประธานบอร์ดธปท.” ไม่ว่าด้วยสาเหตุใดก็ตาม ก็เชื่อว่า หาก “กิตติรัตน์” ไม่มีชนักติดหลังอะไรแล้ว คงยากที่จะเข้ามาเป็นรัฐมนตรีในรัฐบาลแพทองธาร เหตุผลก็ง่ายๆ “ทักษิณ” ไม่เอานั่นเอง
………………………………………..
คอลัมน์ : ส่องป้อมค่ายการเมือง
โดย “พระจันทร์เสี้ยว”