มีความเป็นไปได้สูงที่เสียงส.ส.พลังประชารัฐ จ่ออาจหายไปจากสภาผู้แทนราษฎร อีก 3 เสียง ตามหลัง “สาวเอ๋-ปารีณา ไกรคุปต์” ที่อยู่ระหว่างการพักปฏิบัติหน้าที่ส.ส.ในคดีรุกป่าสงวนฯ
เพราะหากศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง รับฟ้องคดีที่อัยการสูงสุด เป็นโจทย์ยื่นฟ้อง “วิรัช รัตนเศรษฐ” ประธานวิปรัฐบาล-ส.ส.บัญชีรายชื่อ และแกนนำพรรคพลังประชารัฐกับพวกรวม 84 คน ในคดีถูกกล่าวหาทุจริตจัดสรรงบประมาณก่อสร้างสนามฟุตซอลพื้นที่ จ.นครราชสีมา หลังอัยการสูงสุด “วงศ์สกุล กิตติพรหมวงศ์” ออกมาระบุเมื่อช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า ได้มีความเห็นสมควรสั่งฟ้อง “วิรัช กับพวก” ในคดีดังกล่าวแล้ว
และข้ันตอนต่อไปจากนี้ก็คือ อัยการจะประสานเจ้าหน้าที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ เพื่อให้แจ้งไปยังผู้ถูกป.ป.ช.ชี้มูลกล่าวหาในคดีดังกล่าวร่วมกับวิรัช เพื่อให้เตรียมตัวไปรายงานตัวต่ออัยการเพื่อนำผู้ถูกกล่าวหาทั้งหมด ยื่นฟ้องคดีต่อศาลฎีกาฯ ภายในเดือนมิ.ย.นี้
โดยตามพรบ.ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมือง พ.ศ. 2560 ระบุไว้ว่า เมื่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาฯ ประทับรับฟ้อง ให้ผู้ถูกกล่าวหาหยุดปฏิบัติหน้าที่จนกว่าจะมีคําพิพากษา เว้นแต่ศาลจะมีคําสั่งเป็นอย่างอื่น
ดังนั้น หากสุดท้ายศาลฎีกาฯ ประทับรับฟ้อง ก็จะทำให้ 3 ส.ส.กลุ่มโคราช พลังประชารัฐ คือ วิรัช รัตนเศรษฐ – นางทัศนียา รัตนเศรษฐ ภรรยานายวิรัช – นางทัศนาพร เกษเมธีการุณ น้องสาวนางทัศนียา รัตนเศรษฐ ซึ่งทั้งสามคนล้วนเป็นส.ส.พลังประชารัฐทั้งสิ้น ต้องหยุดพักการปฏิบัติหน้าที่ไปเลยแบบยาวๆ ร่วมปี
อย่างไรก็ตาม ด้วยจำนวนเสียงส.ส.รัฐบาลที่มากกว่า ฝ่ายค้านอย่างมาก หลายสิบเสียง ไม่ใช่รัฐบาลปริ่มน้ำแบบในอดีต ดังนั้นเสียงที่หายไปจึงไม่มีผลกับรัฐบาลมากนัก
ทั้งนี้ “วิรัช” ปัจจุบันเป็นส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ และมีบทบาทอย่างมากในพรรคพลังประชารัฐเวลานี้ เรียกได้ว่าเป็นแกนนำพรรคเบอร์ต้นๆ เป็นหัวหน้ากลุ่มโคราช พลังประชารัฐ ที่พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐไว้วางใจ โดยที่ผ่านมา กับบทบาท “ประธานวิปรัฐบาล” ถือว่า “วิรัช” ใช้ความเป็นนักการเมืองรุ่นใหญ่ ทำหน้าที่ประสานงาน คอยเคลียร์ปัญหาต่างๆ ในสภาฯ ให้รัฐบาลได้แบบประทับใจ “บิ๊กป้อม” อย่างมาก
ทำให้หากสุดท้าย ถ้า “วิรัช” ต้องหยุดพักการปฏิบัติหน้าที่แล้ว “พลังประชารัฐ” ต้องหาประธานวิปรัฐบาลคนใหม่มาทำหน้าที่แทน ก็คงทำให้ “บิ๊กป้อม” อาจกังวลใจพอสมควร หากประธานวิปรัฐบาลคนใหม่ ความเก๋าส์เกมทางการเมืองสู้ “วิรัช” ไม่ได้
อีกจุดหนึ่งที่น่าสนใจก็คือ การที่ “วงศ์สกุล กิตติพรหมวงศ์” อัยการสูงสุด ลงนามความเห็นสั่งฟ้องคดีดังกล่าว หลังมีข่าวว่า ตอนแรก อัยการกับฝ่ายป.ป.ช.ยังมีความเห็นทางคดีที่แตกต่างกันบางแง่มุม จนอัยการได้ทักท้วงความไม่สมบูรณ์ของสำนวน แต่สุดท้าย เมื่อคณะทำงานร่วมอัยการและป.ป.ช. คุยกันหลายรอบ ก็ได้ข้อสรุป จนมีความเห็นเสนอให้อัยการสูงสุดมีความเห็นสั่งฟ้อง จนนำมาสู่การเตรียมยื่นฟ้อง วิรัชกับพวกในอนาคตอันใกล้นี้
เรื่องนี้ทำให้ ฝ่ายอัยการโดยเฉพาะ “วงศ์สกุล-อัยการสูงสุด” ไม่โดนกระแสสังคมวิพากษ์วิจารณ์ตามมา หลังก่อนหน้านี้ คดีดังๆ เช่น คดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ฟ้อง “พานทองแท้ ชินวัตร” ในคดีทุจริตปล่อยกู้กรุงไทย ที่ศาลอาญาคดีทุจริตฯ ยกฟ้องพานทองแท้ แล้วต่อมาดีเอสไอ มีความเห็นให้อุทธรณ์คดี แต่พอเรื่องส่งไปยังอัยการสูงสุด เพื่อขอให้ยื่นอุทธรณ์คดีต่อศาลฯ ก็ปรากฏว่าเป็น “เนตร นาคสุข” อดีตรองอัยการสูงสุดผู้โด่งดัง มาลงนามคำสั่งชี้ขาดไม่อุทธรณ์คดีดังกล่าวแทน “วงศ์สกุล” รวมถึงคดีที่โด่งดังที่สุดเมื่อปีที่แล้ว อย่างคดี “วรยุทธ อยู่วิทยา” หรือ “บอส อยู่วิทยา” ทายาทเครื่องดื่มบำรุงกำลัง ก็ปรากฏว่า “เนตร นาคสุข” ใช้อำนาจขณะรักษาการรองอัยการสูงสุด มีคำสั่งไม่ฟ้องทุกข้อหาของนายวรยุทธ จนหลายคนสงสัยแล้ว “วงศ์สกุล-อัยการสูงสุด” หายไปไหน
หากคดีที่เอาผิด “วิรัช”แกนนำพลังประชารัฐรอบนี้ ถ้า “อัยการ” โดยเฉพาะ “วงศ์สกุล” มีความเห็นสั่งไม่ฟ้อง โดยงัดกับป.ป.ช. รับรองทัวร์ลง “วงศ์สกุล” อีกรอบแน่
อย่างไรก็ตาม สุดท้ายแล้ว คดีทุจริตเงินจัดสรรงบประมาณก่อสร้างสนามฟุตซอลโรงเรียนในพื้นที่เขตการศึกษาจังหวัดนครราชสีมาดังกล่าว ยังไงก็ต้องให้โอกาสและความเป็นธรรมกับ “วิรัชและพวก” ในการพิสูจน์ความบริสุทธ์ด้วย โดยเชื่อว่า ผู้ถูกกล่าวหาทั้งหมด โดยเฉพาะคนในตระกูล “รัตนเศรษฐ” คงสู้สุดชีวิตเพื่อให้รอดพ้นความผิด
และนอกเหนือจาก คดีทุจริตเงินจัดสรรงบประมาณก่อสร้างสนามฟุตซอลฯ แล้ว ก็พบว่า ในส่วนของแกนนำรัฐบาล ที่มีคดีอยู่ในขั้นตอนการพิจารณาสำนวนของอัยการและป.ป.ช. ว่าจะสั่งฟ้องหรือสั่งไม่ฟ้อง ยังมีอีกหนึ่งสำนวนสำคัญนั่นก็คือ คดีป.ป.ช.กล่าวหาชี้มูลเอาผิด “นิพนธ์ บุญญามณี” รมช.มหาดไทย หรือมท. 2 แกนนำพรรคประชาธิปัตย์ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่ง “นายก อบจ.สงขลา” กรณีละเลยต่อการปฏิบัติหน้าที่ไม่อนุมัติเบิกจ่ายงบประมาณ แก่บริษัท พลวิศว์ เทคพลัส จำกัด เป็นค่ารถซ่อมบำรุงทางเอนกประสงค์ 2 คัน วงเงิน 50,850,000 บาท
พบว่า คดีดังกล่าว “นิพนธ์-มท.2” ก็อยู่ในช่วง “มีเสียว-ต้องลุ้นหนัก” เหมือนกันว่าจะ “รอด-ไม่รอด” เพราะปรากฏว่าคดีดังกล่าว หลังสำนักงานอัยการสูงสุด ได้สำนวนมาจากป.ป.ช.แล้ว ทางสำนักงานอัยการสูงสุด ก็ส่งเรื่องไปยัง สำนักงานอัยการคดีปราบปรามการทุจริตภาค 9 ที่รับผิดชอบพื้นที่จังหวัดสงขลา เพื่อให้พิจารณาสำนวนและทำความเห็นทางคดี
ต่อมา ทางอัยการคดีปราบปรามทุจริตภาค 9 พิจารณาสำนวนแล้วมีความเห็นต่างจากป.ป.ช.หลายประเด็น จึงมีคำสั่งแจ้งข้อไม่สมบูรณ์ในสำนวนคดีไปยังป.ป.ช. และนำมาสู่การตั้ง คณะกรรมการร่วมระหว่างป.ป.ช. กับอัยการฯ โดยมีการประชุมกันอย่างเคร่งเครียดหลายรอบ โดยเฉพาะนัดสำคัญเมื่อ 27 พ.ค.ที่ผ่านมา แต่ก็ปรากฏว่า คณะกรรมการร่วมฝ่ายอัยการกับป.ป.ช. ไม่สามารถหาข้อสรุปได้ ว่าสมควรสั่งฟ้องหรือสั่งไม่ฟ้อง “นิพนธ์-มท.2” เพราะอัยการยังคงยืนยันในข้อไม่สมบูรณ์ของสำนวนคดี หากจะมีการยื่นฟ้อง เลยมีข่าวว่า คณะทำงานร่วมเมื่อหาข้อยุติไม่ได้ เลยต้องเลื่อนการประชุมพิจารณาออกไปอีกสักระยะ ถึงค่อยนัดถกอีกรอบ เพื่อหาข้อยุติต่อไป
อย่างไรก็ตาม สุดท้ายแล้ว ถึงต่อให้อัยการมีความเห็นสั่งไม่ฟ้อง แล้วป.ป.ช.ยืนกรานให้ฟ้องเอาผิด “นิพนธ์” ถ้าตกลงกันไม่ได้ ป.ป.ช.ก็สามารถไปยื่นฟ้องคดีต่อศาลเองได้ เพราะกฎหมายให้อำนาจป.ป.ช.ไว้ หากอัยการไม่ยอมฟ้องคดี
มีการประเมินกันไว้ว่า คดีกล่าวหา “นิพนธ์” รมช.มหาดไทย ดังกล่าว หากไม่มีการประวิงเวลากัน ก็น่าจะได้ข้อยุติว่าจะสั่งฟ้องหรือสั่งไม่ฟ้อง และป.ป.ช. จะต้องฟ้องคดีเองหรือไม่ ภายในไม่น่าจะเกินช่วงก.ย.ถึงต.ค.ปีนี้
และเมื่อมีการฟ้องคดี ไม่ว่าจะเป็นการฟ้องจากอัยการหรือป.ป.ช. จนศาลประทับรับฟ้อง เก้าอี้ “รมช.มหาดไทย” ของ “นิพนธ์” ก็คงยากที่จะรักษาไว้ได้ ส่วนเรื่องของคดี ก็ต่อสู้กันไป ซึ่ง “นิพนธ์” อาจสู้คดีจนชนะก็ได้ เพราะเจ้าตัวยืนกรานความบริสุทธิ์ของตัวเองมาตลอด
คดีของ “วิรัช-ประธานวิปรัฐบาล” และคดีของ “นิพนธ์-รมช.มหาดไทย” จึงเป็นสองคดีสำคัญทางการเมือง ที่ต้องรอดูว่า ผลจะออกมาอย่างไร ใครจะรอด หรือไม่รอด ?
………………………………………………..
คอลัมน์ : ส่องป้อมค่ายการเมือง
โดย “พระจันทร์เสี้ยว”