ศึกซักฟอกการเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ “แพทองธาร ชินวัตร” นายกรัฐมนตรี ที่มีการวางปฏิทินการเมืองไว้ว่า จะให้อภิปรายในช่วงสัปดาห์สุดท้ายของเดือนมี.ค.
ถึงตอนนี้ เห็นร่องรอย ความดุเดือด-การปะทุ ระหว่าง “ฝั่งรัฐบาล” กับ “ฝ่ายค้าน” แล้วสองจุด
จุดแรก คือการที่ วิปรัฐบาลจากพรรคเพื่อไทย พยายามจะ “รวบหัวรวบหาง” ให้ฝ่ายค้าน ซักฟอกเพียงวันเดียว โดยอ้างเหตุว่า อภิปรายนายกฯคนเดียว แค่หนึ่งวันก็เพียงพอแล้ว โดยให้จบก่อนเที่ยงคืน จากนั้นก็โหวตกันเลยในคืนนั้น จะได้จบๆ ซึ่งเรื่องนี้ ยังไม่มีข้อสรุป เพราะวิปรัฐบาลและวิปฝ่ายค้าน ต่างรอให้ “ประธานสภาฯ” บรรจุญัตติฯเสียก่อนว่าจะอภิปรายวันใด
จากนั้นจึงจะมีการนัดหารือกันอีกครั้งว่าจะให้อภิปรายกี่วัน เช่น หากประธานสภาฯ บรรจุญัตติไว้ให้อภิปรายจันทร์ที่ 24 มี.ค. วิปรัฐบาลกับวิปฝ่ายค้าน ถึงค่อยมาตกลงกันว่า จะอภิปรายถึงวันใด แล้วโหวตวันไหน แต่ท่าทีของฝ่ายค้าน ยืนกรานไม่เอาด้วยกับการให้อภิปรายวันเดียว อย่างน้อยสุดเลยยังไงก็ต้อง 2 วันขั้นต่ำ
จุดที่สอง ก็คือ ท่าทีอย่างเป็นทางการล่าสุดของ ประมุขฝ่ายนิติบัญญัติ “วันมูหะมัดนอร์ มะทา” ประธานสภาผู้แทนราษฎร ให้ทางสภาฯ ทำหนังสือด่วนที่สุดถึง “เท้ง-ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ” หัวหน้าพรรคประชาชน ในฐานะ ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร เพื่อแจ้งให้ฝ่ายค้านทำการแก้ไขญัตติที่ยื่นมาเมื่อ 27 ก.พ. ที่มีการระบุชื่อคนนอกที่ก็คือ “ทักษิณ ชินวัตร” พ่อนายกฯแพทองธาร ออกจากญัตติดังกล่าว ด้วยเหตุผลว่า “ทักษิณ” เป็น “คนนอก” การระบุชื่อไว้ดังกล่าว จึงไม่สามารถทำได้ตามข้อบังคับการประชุมสภาฯ

“ตามที่ท่านกับคณะได้เสนอญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไป เพื่อลงมติไม่ไว้วางใจ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ต่อประธานสภาผู้แทนราษฎร ตามมาตรา 151 ของรัฐธรรมนูญนั้น ประธานสภาผู้แทนราษฎรได้พิจารณาแล้ว เห็นว่า การระบุรายชื่อบุคคลภายนอกในเนื้อหา ญัตติอาจทำให้บุคคลภายนอกได้รับความเสียหาย เนื่องจากไม่สามารถชี้แจงในที่ประชุมสภาได้ฯ ”หนังสือดังกล่าวของสภาฯ ที่ลงวันที่ 7 มี.ค.ระบุไว้
อย่างไรก็ตาม ท่าทีจาก “ฝ่ายค้าน” โดยเฉพาะ “พรรคประชาชน” พรรคแกนนำฝ่ายค้าน แสดงออกโดยทันควัน “ไม่ยอมรับการใช้ดุลยพินิจดังกล่าวของประธานสภาฯ” พร้อมกับตั้งข้อสังเกตว่า หนังสือดังกล่าวน่าจะมีปัญหา เพราะเลยกำหนด 7 วันแล้วตามข้อบังคับการประชุมสภาฯ ข้อ 176 ที่ระบุว่า “เมื่อประธานสภาได้รับญัตติตามข้อ 175 แล้ว ให้ทำการตรวจสอบ หากมีข้อบกพร่อง ให้ประธานสภาแจ้งผู้เสนอทราบภายในเจ็ดวันนับแต่วันที่ได้รับญัตติ เมื่อประธานสภาได้ตรวจสอบความถูกต้องของญัตติแล้ว ให้บรรจุเข้าระเบียบวาระการประชุม เป็นเรื่องด่วนและแจ้งให้นายกรัฐมนตรีทราบ”
เพราะฝ่ายค้านยื่นญัตติวันพฤหัสบดีที่ 27 ก.พ. แต่สภาฯส่งหนังสือมาให้ฝ่ายค้านในวันศุกร์ที่ 7 มี.ค. รวมถึงยืนกรานว่า จะไม่แก้ไขทบทวนญัตติ เพราะประธานสภาฯไม่มีอำนาจดังกล่าว

“ณัฐพงษ์” ผู้นำฝ่ายค้านฯ ระบุว่า เตรียมทำหนังสือโต้แย้งประธานสภาฯกลับไป เพราะการยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจเป็นสิทธิของสมาชิกที่เข้าชื่อครบตามรัฐธรรมนูญ ถ้าดูตามบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญ ไม่ได้เขียนไว้ว่า ให้ประธานมีอำนาจใช้ดุลยพินิจไม่บรรจุญัตติได้ ซึ่งเรื่องนี้พวกเราเองก็คิดว่า เราดำเนินการทุกอย่างตามกรอบรัฐธรรมนูญ ไม่น่ามีเหตุผลอะไรที่ประธานฯ ต้องมาเซ็นเซอร์ฝ่ายค้าน
การที่ “ประธานฯวันนอร์” สั่งให้ “ฝ่ายค้าน” ไปแก้ไขญัตติฯ สร้างความประหลาดใจทางการเมืองพอสมควร
หลังก่อนหน้านี้ “ว่าที่ ร.ต.ต.อาพัทธ์ สุขะนันท์” เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ออกมาให้สัมภาษณ์ว่า ทางสำนักงานเลขาธิการสภาฯ ตรวจสอบญัตติแล้ว เห็นว่าไม่ได้มีปัญหาอะไร และไม่ได้มีการเสนอให้ประธานสภาฯ บอกให้ฝ่ายค้าน แก้ไขญัตติ ตัดชื่อนายทักษิณออกแต่อย่างใด
มันเลยทำให้หลายคนแปลกใจ ทำไม “ประธานวันนอร์ฯ” ถึงเห็นว่าญัตติดังกล่าวมีปัญหา!!!
และแน่นอนว่า เรื่องนี้ก็ต้องมีการโยงไปถึงว่า มี “คำร้องขอ” จาก “จันทร์ส่องหล้า-พรรคเพื่อไทย” ไปที่ “ประธานฯวันนอร์” หรือไม่?
ในทำนองเพื่อ สกัด “ฝ่ายค้าน” ไม่ให้อภิปราย “ทักษิณ” ในห้องประชุมสภาฯ เพราะต้องไม่ลืมว่า ที่ “วันนอร์” ส้มหล่น ได้เป็นประธานสภาฯ ทั้งที่ “พรรคประชาชาติ” มีสส.แค่ 9 คน ก็เพราะ “พรรคเพื่อไทย” วางเกมตอนช่วงตั้งรัฐบาลหลังเลือกตั้งปี 2566 ด้วยการบีบให้ “พรรคก้าวไกล” (ในเวลานั้น) ที่มีสส.ในสภาฯมากที่สุด ไม่ได้โควตาประธานสภาฯ ที่ก็ยืดเยื้อกันร่วมครึ่งเดือน
จนสุดท้าย “พรรคก้าวไกล” ต้องยอมได้แค่ รองประธานสภาฯคนที่หนึ่ง แล้ว “พรรคเพื่อไทย” ได้โควต้า รองประธานฯคนที่สอง ส่วน “ประธานสภาฯ” ก็ประเคนเก้าอี้นี้กับ “วันมูหะมันนอร์ มะทา” ที่ตอนนั้นยังเป็นหัวหน้าพรรคประชาชาติ
แต่ต่อมาช่วงปรับครม.รัฐบาลเศรษฐา ทวีสิน ตอนพ.ค.2567 “พรรคเพื่อไทย” ก็พยายามปล่อยข่าวกดดันให้ “วันนอร์” ลาออกจากประธานสภาฯ เพื่อหวังเอาเก้าอี้ประธานสภาฯคืน แต่ “พรรคประชาชาติ-วันนอร์” ไม่ยอม จนมีการเคลียร์กันได้ “พรรคเพื่อไทย” ก็ยอมถอยให้ “วันนอร์” นั่งเป็นประธานสภาฯต่อไป

ทำให้มีการมองกันว่า ยังไง “วันนอร์” ก็ต้องเกรงใจ “ทักษิณ-เพื่อไทย” เพราะก็ “คนคุ้นเคย” อยู่พรรคเดียวกันมาตั้งแต่ตอนหลังเลือกตั้งปี 2544 ที่ “พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ” ยุบพรรคความหวังใหม่ แล้วพาสส.ไปอยู่กับ “ทักษิณ” ที่ พรรคไทยรักไทย โดยที่ “วันนอร์” เวลานั้น ก็เป็น หัวหน้ากลุ่มวาดะห์ ในพรรคไทยรักไทย ดูแลพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ก่อนที่ต่อมาช่วงเลือกตั้งปี 2562 จะใช้แผน “แยกตัว” ออกไปตั้ง “พรรคประชาชาติ” เพื่อเจาะฐานเสียง 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และกลุ่มชาวไทยมุสลิมฯ ที่ก็ประสบความสำเร็จในระดับหนึ่ง
คนจึงมองว่า การที่ “ประธานวันนอร์” ให้ “ฝ่ายค้าน” แก้ญัตติซักฟอก อาจเป็นการแสดงออกเพื่อแสดงให้ “ทักษิณ-เพื่อไทย” เห็นว่า พยายามช่วยแล้ว ไม่ให้มีการแตะต้อง “ทักษิณ” ในศึกซักฟอก จนต้องยอมทำหนังสือดังกล่าวถึง “ฝ่ายค้าน”
โดย “ประธานวันนอร์” รู้ดีว่า “ฝ่ายค้าน” ต้องไม่ยอมและถล่มเละแน่ แต่อย่างน้อยก็เป็นการ “ซื้อใจ” กันว่า ที่เคยให้ “เก้าอี้ประธานสภาฯ” แล้ว “กล้า” ทำให้รอบนี้ “หายกันแล้วนะ”
ส่วนจะเคลียร์กับ “ฝ่ายค้าน” ได้หรือไม่ สัปดาห์นี้…ค่อยมาดูกัน!
………………………………………………
คอลัมน์ : ส่องป้อมค่ายการเมือง
โดย “พระจันทร์เสี้ยว”