ปม ชั้น 14 รพ.ตำรวจ กำลังทำให้ “ทักษิณ ชินวัตร” ร้อนรุ่มใจ เพราะอย่างที่รู้กัน จุดสำคัญของเรื่องนี้ จะไปอยู่ที่ “ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง” ที่นัดไต่สวนคดี “การรับโทษ-พักโทษ” ของ “ทักษิณ” ในวันศุกร์ที่ 13 มิ.ย.นี้
ทั้งนี้ยังคาดการณ์ไม่ได้ว่า จะเป็น “ศุกร์ 13” ที่ “เขย่าขวัญทักษิณ” มาก-น้อยแค่ไหน หากผลการไต่สวนออกมาในทาง “ไม่เป็นคุณกับทักษิณ” ศาลจะมีการออกคำสั่งให้นำตัว “ทักษิณ” กลับมารับโทษ-เข้าคุกอีกหรือไม่ หากศาลฎีกาฯเห็นว่า กระบวนการที่ “ทักษิณไม่ได้เข้าคุกแม้แต่วันเดียว” ตั้งแต่กลับมา 22 ส.ค.66 ถึง 18 ก.พ.67 ก่อนจะเข้าสู่การ “พักโทษ” จึงให้นำตัวกลับมาเข้าคุกอีกรอบ
เป็น “ศุกร์ 13” ที่กว่าจะถึงวันนั้น “ทักษิณ” คงเครียด-นอนไม่หลับ…ไปหลายวัน!
ท่ามกลางการสร้างกระแสข่าวจาก “ฝ่ายตรงข้าม” ที่ออกมา “ฟันธง-ชี้เปรี้ยง” ว่า “ทักษิณจะหนีอีกครั้ง” ถ้าประเมินผลการไต่สวนจะออกมาในทางที่ “เป็นโทษกับตัวเอง” เลยต้องชิ่งก่อน End game

ยิ่งล่าสุด “มติแพทยสภา” เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 8 พ.ค.ที่ผ่านมา ที่ลงโทษแพทย์โรงพยาบาลราชทัณฑ์และแพทย์โรงพยาบาลตำรวจ 3 ราย แยกเป็นตักเตือน 1 ราย และพักใช้ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพเวชกรรม 2 ราย
โดยเสียงส่วนใหญ่ในบอร์ดแพทยสภาที่ล้วนแล้วแต่เป็น “แพทย์ชั้นผู้ใหญ่” ของวงการสาธารณสุข เห็นว่า “ทักษิณไม่ได้ป่วยขั้นวิกฤต” ถึงขนาดต้องให้นอนชั้น 14 ร.พ.ตำรวจ ได้ถึงหกเดือนจนครบกำหนดพักโทษ ทำให้ “ทักษิณไม่ต้องติดคุกแม้แต่วันเดียว”
พูดง่ายๆ “แพทยสภา” ชี้ว่า “ทักษิณป่วยทิพย์” นั่นเอง
อันไม่เป็นผลดีต่อ “ทักษิณ” แน่นอน โดยเฉพาะกับรูปคดีที่ศาลฎีกาฯนัดไต่สวนวันที่ 13 มิ.ย.นี้
เพราะทำให้ที่ศาลฎีกาฯสั่งให้ “กรมราชทัณฑ์-เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร-รพ.ราชทัณฑ์-รพ.ตำรวจ” ส่งข้อมูลทั้งหมดเกี่ยวกับการส่งตัว-การรักษาตัว “ทักษิณ” มาให้ศาลฎีกาฯก่อนการไต่สวนวันที่ 13 มิ.ย. ข้อมูลที่หน่วยงานราชการข้างต้นจะส่งไปศาลฎีกาฯ จึง “ขาดน้ำหนัก-ความน่าเชื่อถือ” ลงไปทันที
เพราะอย่างไร ศาลฎีกาฯต้องให้น้ำหนักกับการสอบสวนจริยธรรมแพทย์ของแพทยสภาที่ใช้เวลาสอบสวนร่วมห้าเดือนมากกว่า “คำแก้ตัว-คำชี้แจง” ของหน่วยงานต่างๆ ที่ส่งไปให้ศาลฎีกาฯ
แม้จะพบว่า “แพทยสภา” ไม่สามารถส่งสำนวน-สำเนาการสอบสวนจริยธรรมแพทย์ทั้ง 3 คนไปให้ศาลฎีกาได้ หากมีการร้องขอมา เพราะติดขัดข้อบังคับแพทยสภา แต่ศาลฎีกาฯย่อมสามารถส่งหนังสือถึง “แพทยสภา” ขอให้ส่ง “ตัวแทนแพทยสภา” เช่น กรรมการสอบสวนจริยธรรมแพทย์ไปเบิกความ-ให้การกับศาลฎีกาฯในวันที่ 13 มิ.ย.ได้ รวมถึงผลสรุป-รายงานการประชุมที่พิจารณาเรื่องนี้เท่าที่เปิดเผยได้
หากศาลฎีกาฯขยับตรงนี้ จะทำให้ไม่เป็นผลดีกับ “ฝ่ายทักษิณ” และ “กลุ่มก๊วน” ที่ร่วมกันวางแผนช่วยเหลือ “ทักษิณ” ไม่ให้ติดคุกแน่นอน

แต่ก่อนจะไปถึงวันที่ 13 มิ.ย. ต้องวัดใจ “สมศักดิ์ เทพสุทิน” รองนายกรัฐมนตรีและรมว.สาธารณสุข ในฐานะ “สภานายกพิเศษ แพทยสภา” ก่อนว่า จะใช้อำนาจในฐานะ “สภานายกพิเศษ” ด้วยการทำ “ความเห็นแย้ง” หรือ “วีโต้” มติของแพทยสภาหรือไม่?
โดยขั้นตอนดังกล่าว “สมศักดิ์” ที่พาสชั้นจากรองนายกฯใน “รัฐบาลเศรษฐา ทวีสิน” มาเป็นรองนายกฯควบรมว.สาธารณสุข ใน “รัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร” เพราะ “ทักษิณ” ผลักดันให้ เวลานี้ “สมศักดิ์” มีเวลา 15 วันในการพิจารณาเรื่องนี้ หลังได้รับหนังสือจากแพทยสภา ที่คาดว่าจะส่งให้ในสัปดาห์นี้
หากพ้น 15 วันแล้ว “สมศักดิ์” ไม่มีการวีโต้ใดๆ ก็เท่ากับยอมรับมติของแพทยสภา จากนั้นแพทยสภาจะมีการออกคำสั่งต่อไป แต่หากแพทย์ทั้ง 3 คนที่ถูกลงโทษ “ไม่เห็นด้วย” ต้องการสู้คดี ก็สามารถยื่นฟ้องศาลปกครองฯได้ เพื่อยื้อเวลาและเรียกชื่อเสียงกลับคืนมา
แต่หาก “สมศักดิ์” โดน “ใบสั่ง” จาก “จันทร์ส่องหล้า” ให้ “ช่วยแพทย์ที่รักษาทักษิณ” โดยเฉพาะแพทย์ 2 คนจากรพ.ตำรวจ ที่มียศ “พล.ต.ท.” ที่ตอนนี้ยังรับราชการอยู่ และถูกสั่งพักใบอนุญาติประกอบวิชาชีพแพทย์ จนมีการวีโต้ออกมา
จะทำให้ “แพทยสภา” ต้องนัดประชุมเพื่อ “ลงมติยืนยันมติเดิม” เมื่อ 8 พ.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งต้องใช้เสียง 2 ใน 3 คือ 47 คนเป็นอย่างน้อย จากกรรมการทั้งหมดที่มี 72 คน ที่ดูแล้ว “แพทยสภา” คงลงมติสวน “สมศักดิ์” แน่นอน เพื่อเป็นการสั่งสอน “รมว.สาธารณสุข” หาก “สมศักดิ์” มา “วีโต้มติแพทยสภา”
โดยกระบวนการทั้งหมด ในชั้น “แพทยสภา” ก็จะเสร็จสิ้นลงภายในไม่เกิน 12 มิ.ย.ก่อนถึงวันนัดไต่สวนของศาลฎีกาฯในวันศุกร์ที่ 13 มิ.ย.
แล้วแบบนี้ “ทักษิณ” จะไม่ระทึกได้อย่างไรว่า จะเป็น “อาถรรพ์…ศุกร์ 13” หรือไม่!
……………………………………………..
คอลัมน์ : ส่องป้อมค่ายการเมือง
โดย “พระจันทร์เสี้ยว”