หลังที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ผ่านร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 วาระแรก ขั้นรับหลักการไปแล้วเมื่อวันเสาร์ที่ 31 พ.ค.ที่ผ่านมา พร้อมกับการปิดสมัยประชุมสภาฯสมัยวิสามัญ จะกลับมาเปิดสภาฯอีกรอบ ก็เดือนก.ค.
โดยช่วงเดือนมิ.ย. ตลอดทั้งเดือน คาดว่ากระแสข่าว “ปรับ ครม.” จะเกิดขึ้นและถูกพูดถึงต่อเนื่อง เพราะถึงตอนนี้เท่ากับ “รัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร” ที่เข้าบริหารประเทศเมื่อช่วงเดือนก.ย.67 นับถึงตอนนี้ก็เข้าสู่เดือนที่ 9 แล้ว ไทม์มิ่งการเมือง ถือว่าเหมาะสมสำหรับ “การปรับครม.-เขย่าขวดการเมือง”
อย่างไรก็ตาม ด้วยการที่ “ทักษิณ ชินวัตร-พ่อนายกฯ” มีศึกหนักต้องรับมือ นั่นก็คือ การนัดไต่สวนคดีชั้น 14 ของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ในวันศุกร์ที่ 13 มิ.ย.นี้ ซึ่งก็ยังไม่แน่ชัดว่า ผลจะออกมาอย่างไร
แม้หลายฝ่ายจะทำนายไปล่วงหน้าว่า “อาจไม่เป็นผลดี” กับ “ทักษิณ ชินวัตร” ร้ายแรงสุดๆ อาจถึงขั้นต้องกลับไปรับโทษ-ติดคุก กลับไปนับหนึ่งใหม่ เข้าสู่กระบวนการรับโทษ 1 ปี ตามที่ได้มีการพระราชทานลดโทษฯให้กับทักษิณจาก 8 ปี เหลือ 1 ปี
จุดนี้คือ “เรื่องหนักหนา” ที่กวนใจ “ทักษิณ” อย่างมาก แม้ต่อให้ “หน้าฉาก” จะพยายามบอกว่า “ไม่น่ามีปัญหาหนักใจก็ตาม” แต่ลึกๆ ย่อมกังวลใจเป็นธรรมดา เพราะแม้ต่อให้ “ทักษิณ” ในวัยเจ็ดสิบกว่า หากต้องกลับไปรับโทษจริง ก็สามารถใช้สิทธิ์ขอใช้สถานที่พักอาศัยเป็นที่ควบคุมตัวได้ ตามระเบียบกรมราชทัณฑ์ฯ
แต่การจะทำแบบนั้นได้ ก็คือ “ทักษิณ” ต้องกลับไปรับโทษก่อน ถึงจะทำเรื่องขอต่อกรมราชทัณฑ์ได้ ที่ต่อให้กรมราชทัณฑ์ทำเรื่องผ่านให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ยังไงก็ต้องมีอย่างน้อยหนึ่งสัปดาห์ อันนี้คือเร็วสุดๆ แล้ว ที่ก็เป็นเรื่องที่ “ทักษิณ” ซึ่งเคยประกาศ “ไม่ยอมติดคุกแม้แต่วันเดียว” ตอนหนีคดีต่างประเทศและทำได้จริงๆ กับการ “ป่วยทิพย์” คงทำใจไม่ได้ หากต้องกลับไปรับโทษ ทั้งที่วางแผนไว้อย่างดีแล้ว

เมื่อ “ทักษิณ” มีศึกหนักดังกล่าวต้องรับมือ จึงทำให้มีการคาดหมายว่า “ทักษิณ” อาจสั่งให้มีการปรับครม. หลัง 13 มิ.ย. เพราะหากปรับก่อน อาจใช้เวลานาน ไม่ทันก่อนวันที่ 13 มิ.ย.
ยิ่งล่าสุด เมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา “ทักษิณ” ส่งสัญญาณแรงๆ ออกมาแล้วว่า “กระทรวงมหาดไทย” ต้องกลับมาอยู่ในการดูแลของ “พรรคเพื่อไทย” รวมถึงกระทรวงหลักๆ อื่น เช่น “กระทรวงเกษตรและสหกรณ์” ก็จำเป็นต้องให้ “พรรคเพื่อไทย” เข้าไปดูแลด้วย จากปัจจุบัน รัฐมนตรี 3 คน เป็นคนของ “พรรคกล้าธรรม” ทั้งหมด โดยไม่มีคนของ “พรรคเพื่อไทย” นั่งอยู่กระทรวงเกษตรฯเลย
เท่านี้…ก็ทำเอา “แผ่นดินไหว” ภายใน “พรรคร่วมรัฐบาล” แล้ว โดยเฉพาะกับ “พรรคภูมิใจไทย” ที่ “ทักษิณ” ให้สัมภาษณ์แบบไม่เกรงใจ “อนุทิน ชาญวีรกูล” หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย-มท. 1 ทำนองไม่พอใจผลงานของกระทรวงมหาดไทย
“การนำนโยบายไปถึงประชาชน กระทรวงหลักคือกระทรวงมหาดไทย วันนี้มันไม่ค่อยถึง เพราะว่ากระทรวงมหาดไทยยังไม่ค่อยทำเต็มที่ เวลามันเหลือ 2 ปีแล้ว จำเป็นอย่างยิ่งที่มหาดไทยต้องทำงานให้เต็มที่”
“ยังไม่ได้ถามหัวหน้าพรรค ถ้าให้วิเคราะห์ก็เป็นเรื่องที่คงต้องพูดกันว่าให้พรรคเพื่อไทยเข้าไปทำบ้าง จะได้ทำนโยบายถึงเพื่อประชาชนได้สักที เพราะเวลาเหลือน้อยแล้ว อีก 2 ปีจะเลือกตั้งแล้ว”
“มันเป็นเรื่องการทำงานเพื่อประชาชน ถ้าอยากทำงานให้ได้ผล พรรคเพื่อไทยต้องตัดสินใจ เพื่อให้นโยบายถึงประชาชนจริงๆ ก็ต้องให้กระทรวงมหาดไทยอยู่ในความดูแลของพรรคเพื่อไทย นี่คือหลักการ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการคลัง และกระทรวงคมนาคม ก็เป็นหัวใจ เพราะคมนาคมก็เรื่องรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย พูดไปแล้วต้องทำให้ได้ ถ้าทำไม่ได้ก็ต้องมีเหตุผลบอกกับประชาชน มันเสียนิสัย เพราะมันเคยเป็นพรรคใหญ่มาก่อน”
“คิดว่าน่าจะคุยกันรู้เรื่อง คงไม่ถอนมั้ง (พรรคภูมิใจไทย) เราไม่อยากให้เขาถอน ก็อยู่ด้วยกันมา”

คำกล่าวข้างต้น คือการออกมาพูดต่อสาธารณะเป็นครั้งแรกของ “ทักษิณ” ที่บอกชัดๆ ว่า “ต้องเอามหาดไทยคืนมา” ชนิดไม่ไว้หน้า “อนุทิน ชาญวีรกูล-เนวิน ชิดชอบ” เลย
และเริ่มมีการคาดหมายว่า การต่อรอง-เจรจาระหว่าง “เพื่อไทย” กับ “ภูมิใจไทย” สูตรที่อาจจะออกมาคือ “เพื่อไทย” ได้คุม “กระทรวงมหาดไทย” แล้วให้ “กระทรวงสาธารณสุข” กับ “อนุทิน” ได้กลับไปเป็นรองนายกฯควบรมว.สาธารณสุขอีกรอบ โดยอาจมีแถมกระทรวงเล็ก พ่วงให้อีกหนึ่ง เช่น กระทรวงวัฒนธรรม
ซึ่งพอเริ่มเกิดสูตรดังกล่าว ก็มีการมองกันว่า คนในเพื่อไทยหลายคน ก็มีโอกาสได้ลุ้นเป็น “มท.1” ไม่ว่าจะเป็น “ภูมิธรรม เวชยชัย” รองนายกฯและรมว.กลาโหม ที่สถานะในรัฐบาลก็คือ “ผู้จัดการรัฐบาล” และ “รองนายกฯเบอร์ 1” ดังนั้น การมาเป็น “มท.1” จึงถูกมองว่าน่าจะลงตัว และอีกหนึ่งชื่อ ก็คือ “สมศักดิ์ เทพสุทิน” รมว.สาธารณสุข ที่ล่าสุดโชว์ผลงาน “วีโต้มติแพทยสภา” ก็จะมีการโยกสลับกันคือ “สมศักดิ์” ไปเป็น “รมว.มหาดไทย” ส่วน “อนุทิน” ก็มาเป็นรมว.สาธารณสุข ถือว่าลงตัวพอสมควร

ส่วนกระทรวงเกษตรฯ คาดว่า “เพื่อไทย” คงไม่ได้ถึงกับต้องการเอากลับมาทั้งหมด แต่ต้องการให้ “ธรรมนัส พรหมเผ่า” ให้ “คนของเพื่อไทย” เข้าไปเป็น “รมช.เกษตรฯ” ด้วย ไม่ใช่ยึดหมดทั้งกระทรวงแบบที่ทำอยู่ตอนนี้ ที่หากเป็นแบบนี้ “ธรรมนัส-กล้าธรรม” คงไม่ขัดข้อง
เหตุ “ธรรมมนัส” รีบออกมาตีกันทันที หลัง “ทักษิณ” บอก “เพื่อไทย” ต้องการดูแลก.เกษตรฯ โดยระบุว่า “กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ต้องเป็นพรรคกล้าธรรมดูแล ไม่มีใครมาแตะกล้าธรรมหรอก”
นี้ขนาดแค่ “ทักษิณ” ส่งสัญญาณ ยังไม่ได้ลงมือเขย่า สั่งให้ปรับ ครม. ก็กระเพื่อมขนาดนี้ ถึงคิวเริ่มปรับ ครม.เมื่อใด มีเครื่องรวนใน “พรรคร่วมรัฐบาล” ให้เห็นแน่
………………………………………..
คอลัมน์ : ส่องป้อมค่ายการเมือง
โดย “พระจันทร์เสี้ยว”