วันอาทิตย์, มิถุนายน 15, 2025
หน้าแรกCOLUMNISTSหนังม้วนยาว“ศาลฎีกา”ไต่สวนป่วยทิพย์ “ทักษิณ”พักหายใจ-ไม่ต้องรีบปรับครม.!
- Advertisment -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

หนังม้วนยาว“ศาลฎีกา”ไต่สวนป่วยทิพย์ “ทักษิณ”พักหายใจ-ไม่ต้องรีบปรับครม.!

การที่ ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เรียกสอบพยานบุคคลเพิ่ม 20 ปาก ในการไต่สวนปม “ป่วยทิพย์ ชั้น 14” ของ “ทักษิณ ชินวัตร” หลังเสร็จสิ้นการไต่สวนนัดแรกไปเมื่อศุกร์ 13 มิ.ย.ที่ผ่านมา โดยนัดไต่สวน 6 นัดรวด ในเดือนหน้า ก.ค. ดังนี้ วันที่ 4-8-15-18-25-30 ก.ค.68

ย่อมทำให้ “ทักษิณ ชินวัตร” มีเวลา “หายใจหายคอ…คล่องตัวขึ้นเยอะ” แน่นอน เพราะหากนัดไต่สวนวันสุดท้าย 30 ก.ค. ถ้าเอาตามนี้โดยไม่มีการไต่สวนเพิ่มเติมอีก ก็คาดว่า เร็วสุดองค์คณะฯก็น่าจะนัดฟังคำสั่งเรื่องนี้ในเดือนส.ค. แต่หากมีการไต่สวนเพิ่มเติมอีก ก็อาจขยับเวลาออกไปได้อีก

ดังนั้น เร็วสุดกว่าจะรู้ผลคำสั่งของศาลฎีกาฯ ว่าจะเห็นควรอย่างไรกรณีนี้ ว่า “ทักษิณ” จะต้องกลับไปรับโทษในเรือนจำอีกครั้งหรือไม่ อย่างที่ “บางฝ่าย-นักกฎหมายบางสำนัก” คาดการณ์ไว้ เร็วสุดก็รู้ผลในเดือนส.ค.

ซึ่งตอนนี้ยังแค่กลางเดือนมิ.ย. นั่นหมายถึง…เหลือเวลาอีกร่วมหนึ่งเดือนครึ่ง ที่ทำให้ “ทักษิณ” ตั้งหลักอะไรต่างๆ ได้ โดยเฉพาะการประเมินทิศทางคดีนี้ ว่าแนวโน้มจะออกมาเป็น “คุณ” หรือเป็น “โทษ” กับตัวเอง

เพราะการไต่สวนของศาลฎีกาฯเมื่อ 13 มิ.ย.ที่ผ่านมา หลายคนมองว่า ดูจะไม่ค่อยเป็นผลดีกับ “ทักษิณ” เท่าที่ควร!

กับการที่ “มานพ ชมชื่น” ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร ซึ่งมารับตำแหน่งหลัง “ทักษิณ” พ้นโทษไปแล้ว ให้การต่อองค์คณะฯ ร่วม 1 ชั่วโมง

โดยประเด็นสำคัญก็คือการที่ “มานพ” ระบุว่า วันที่ 22 ส.ค.2566 หลังจากที่กรมราชทัณฑ์นำตัวนายทักษิณไปยังเรือนจำ มีการตรวจรับตัวผู้ต้องหาแรกเข้า พิมพ์ลายนิ้วมือ ตามขั้นตอน และในคืนดังกล่าว จากที่นายทักษิณได้แจ้งว่า เป็นความดันโลหิต ค่าออกซิเจนต่ำกว่าปกติ มีอาการแน่นหน้าอก ซึ่งมีพยาบาลที่เข้าเวรอยู่เพียงคนเดียว จึงได้ประสานปรึกษากับแพทย์ จนมีการส่งตัวนายทักษิณไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลตำรวจ

“โดยไม่ได้มีการส่งตัวไปโรงพยาบาลราชทัณฑ์ก่อนตามขั้นตอนปกติ การส่งตัวนายทักษิณไปรักษานั้น ใช้อำนาจตามมาตรา 55 ของพระราชบัญญัติราชทัณฑ์ พ.ศ.2560 และยอมรับว่า มีการเขียนใบส่งตัวไว้ล่วงหน้า ซึ่งเป็นการปฏิบัติตามขั้นตอนปกติ แล้วที่ผ่านมาการส่งตัวผู้ป่วยทุกกรณีเมื่อส่งออกออกจากเรือนจำก็ต้องส่งไปยังโรงพยาบาลราชทัณฑ์ก่อน ที่จะมีการวินิจฉัยส่งตัวไปยังที่อื่น แต่กรณีของนายทักษิณยอมรับว่ามีการส่งตัวไปยังโรงพยาบาลตำรวจ”

ที่ก็คือ กรณีของ “ทักษิณ” ในคืนเกิดเหตุ หากทำตามขั้นตอนปกติ จะต้องส่งตัวไป “รพ.ราชทัณฑ์” ก่อน หากอาการของ “นักโทษ” หนักเกินกว่า “รพ.ราชทัณฑ์” จะรักษาได้ ก็จะส่งไปยัง “รพ.ตำรวจ” แต่ปรากฏว่า กรณีของ “ทักษิณ” กลับไม่ได้ส่ง “รพ.ราชทัณฑ์” ก่อน แต่กลับส่งไป “รพ.ตำรวจ” เลย!

อีกทั้งยังพบว่า ในห้องไต่สวน มีหลายคำถามที่ “มานพ” ไม่สามารถให้ปากคำ-ชี้แจงรายละเอียดต่อศาลได้ และการซักถามในประเด็นที่ทำให้ “ฝ่ายทักษิณ” คงเครียดพอสมควร เช่น การซักถามถึงระเบียบราชทัณฑ์ ที่ห้ามมิให้ผู้ต้องขังอยู่ในห้องพักพิเศษแยกจากผู้ต้องขังอื่น มาสอบถามผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร

แต่เมื่อ “มานพ” ไม่ได้เป็นผู้บัญชาการเรือนจำฯในช่วงที่ “ทักษิณ” ไปอยู่รพ.ตำรวจ จึงทำให้ไม่สามารถตอบได้หมดทุกประเด็นจนสุดท้าย ทำให้องค์คณะฯจะเรียก “ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร” ในช่วงการส่งตัว “ทักษิณ” ไปอยู่รพ.ตำรวจ มาให้ปากคำต่อศาลฎีกาฯต่อไปในช่วงการไต่สวนเดือนก.ค.นี้

เช่นเดียวกับที่เรียก “พญ.รวมทิพย์ สุภานันท์” แพทย์รพ.ราชทัณฑ์ ที่เป็นผู้เขียน “ใบส่งตัวล่วงหน้า” และถูก “แพทยสภา” ลงโทษ ด้วยการว่ากล่าวตักเตือน มาให้ปากคำด้วยเช่นกัน  

เรียกได้ว่า รูปการณ์การไต่สวนคดีนัดแรก เห็นได้ชัดว่า ผลออกมาไม่ค่อยดีนักสำหรับ “ฝ่ายทักษิณ-ทนายทักษิณ” เพราะการที่ศาลฎีกาฯให้สำนักงานป.ป.ช.เป็นผู้นำส่งเอกสาร รายงานการสอบสวนของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) กรณีชั้น 14 ที่มีข้อสรุปว่า…“การให้นายทักษิณพักรักษาตัวในห้องพิเศษและรักษาตัวเป็นระยะเวลานาน โดยยังไม่อาจเชื่อได้ว่า ป่วยจนอยู่ในภาวะวิกฤติสลับปกติเป็นระยะ ถือเป็นการเลือกปฏิบัติอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน”

รวมถึงให้นำส่ง “มติที่ประชุมแพทยสภา” ที่ มีมติยืนยัน ให้ ลงโทษแพทย์ 3 คน ที่เกี่ยวข้องกับการส่งตัวและรักษาทักษิณ เมื่อ 12 มิ.ย. ที่เป็นมติซึ่งสวนกับการ “วีโต้” ของ “สมศักดิ์ เทพสุทิน” รมว.สาธารณสุข ในฐานะ “สภานายกพิเศษ แพทยสภา” ซึ่งศาลฎีกาฯให้ป.ป.ช.ในฐานะโจทย์ที่เคยยื่นฟ้องเอาผิด “ทักษิณ” ไปนำเอกสารสองชุดดังกล่าวส่งมาให้ศาลฎีกาฯอย่างเป็นทางการ

เจอเข้าไปแบบนี้ “ทักษิณ” มีหนาวกลางฤดูฝน เพราะดูรูปการณ์แล้ว ไม่ค่อยดีกับการสู้คดีของตัวเองเท่าใดนัก

อย่างไรก็ตาม การที่ศาลฎีกาฯกว่าจะไต่สวนคดีนี้จบ ก็วันที่ 30 ก.ค. และไม่แน่ว่า อาจจะมีการนัดไต่สวนเพิ่มเติมได้อีก เช่น หาก “ทักษิณ” ยื่นคำร้องขอเข้าให้ปากคำด้วย ก็อาจทำให้ศาลฎีกาฯต้องนัดวันไต่สวนเพิ่มก็เป็นไปได้เช่นกัน

การที่เบื้องต้น ศาลฎีกาฯนัดไต่สวนนัดสุดท้าย วันที่ 30 ก.ค. นอกจากทำให้ “ทักษิณ” มีเวลา “ตั้งหลัก” มากขึ้นแล้ว จากเดิมที่เคยคาดกันว่า ศาลฎีกาฯอาจจะนัดฟังคำสั่งภายในสิ้นเดือนนี้เสียด้วยซ้ำ

และแน่นอนว่า เมื่อมีแนวโน้ม ศาลฎีกาฯจะนัดฟังคำสั่งเรื่องนี้ในเดือนส.ค.แบบเร็วสุด มันก็ทำให้ การตัดสินใจ “ปรับ ครม.” ครั้งแรกของ “รัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร” ก็เลยมีเวลามากขึ้นในการเจรจา-ต่อรอง-ทำโผ-ตรวจสอบประวัติและคุณสมบัติฯ จากเดิมที่เคยมองกันว่า “ทักษิณ” ต้องการปรับครม.-คุยให้จบ ก่อนวันนัดฟังคำสั่งศาลฎีกาฯ เดือนนี้ เพื่อเตรียมการไว้ก่อน หากเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง แต่เมื่อการไต่สวน-ฟังคำสั่งศาลฎีกาฯ ขยับออกไปพอสมควร

ก็ทำให้ “ทักษิณ” มี “อำนาจการต่อรอง” กับ “พรรคร่วมรัฐบาล” มากขึ้นเล็กน้อย เพราะไม่ต้องรีบมากเหมือนตอนแรก

ที่ก็เริ่มมีกระแสข่าวว่า การเจรจาระหว่าง “เพื่อไทย” กับ “ภูมิใจไทย” ในเรื่องการปรับ ครม.น่าจะจบภายในสัปดาห์นี้ เพื่อเคลียร์ให้ลงตัวจะเอาอย่างไร หลังล่าสุด “อนุทิน ชาญวีรกูล” หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ยืนยันอีกรอบเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า “ภูมิใจไทยต้องดูแลกระทรวงมหาดไทยต่อไป ไม่เช่นนั้น พรรคก็พร้อมไปเป็นฝ่ายค้าน”

อันเป็นท่าที ซึ่งคงทำให้ “ทักษิณ-เพื่อไทย” ไม่พอใจแน่นอน ที่ “ภูมิใจไทย” แข็งข้อและยื่นคำขาดกันแบบนี้!

………………………………………..

คอลัมน์ : ส่องป้อมค่ายการเมือง

โดย “พระจันทร์เสี้ยว”

- Advertisment -spot_imgspot_img
- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_imgspot_img

Featured

- Advertisment -spot_img
spot_img
Advertismentspot_imgspot_img
spot_imgspot_img