คงเพราะเห็นแล้วว่า อายุของสภาฯ ชุดนี้เหลือเวลาอีกแค่ประมาณ 1 ปี 9 เดือน ก็จะหมดวาระ ทำให้ต้องมีการเลือกตั้งใหม่ กรณีหากสภาฯอยู่ครบเทอม แต่หากรัฐนาวาของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไปไม่รอด เพราะเอาชนะโควิดในเวลาอันสั้นไม่ได้ จนต้องยุบสภาฯ มากกว่าที่จะลาออกจากนายกฯ
ทำให้การนับถอยหลังไปสู่การเลือกตั้ง ยังไง ช้าสุด ก็ไม่เกิน1 ปี 9 เดือน ด้วยเหตุนี้ เลยอาจทำให้ “กลุ่ม 4 กุมาร” ซึ่งเป็น “กลุ่มอดีตแกนนำ-อดีตสี่รัฐมนตรีพลังประชารัฐ” ที่นำโดย “อุตตม สาวนายน” อดีตรมว.คลัง และอดีตหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ
ที่ก่อนหน้านี้ คนในกลุ่ม 4 กุมาร ถูกมองว่า ยังกั๊ก ๆ ว่าจะเล่นการเมืองต่อดีหรือไม่ ไม่กล้าตัดสินใจ แต่มาถึงตอนนี้ เป็นไปได้ว่า “กลุ่ม 4 กุมาร” คงเห็นแล้วว่า หากจะกลับมาทำการเมืองต่อ แล้วไม่รีบขยับตั้งแต่ตอนนี้ อาจช้าเกินไป ยังไง ก็ควรหยั่งกระแสดูก่อนว่า หากจะตั้งพรรคการเมืองจริง จะไปได้หรือไม่
หลังที่ผ่านมา มีข่าวออกมาตลอดว่า กลุ่มสี่กุมาร ที่ประกอบด้วย “อุตตม สาวนายน-สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ อดีตรมว.พลังงาน-สุวิทย์ เมษินทรีย์ อดีตรมว.อุดมศึกษาฯ-กอบศักดิ์ ภูตระกูล อดีตรมต.สำนักนายกรัฐมนตรี” กำลังซุ่มเงียบตั้งพรรคการเมือง แต่ยังไม่เดินหน้าเต็มตัวเพราะต้องการดูทิศทางลมก่อน โดยมี “สมคิด จาตุศรีพิทักษ์” อดีตรองนายกฯ ลูกพี่ใหญ่ของกลุ่มสี่กุมาร เป็นกุนซือใหญ่ คอยให้คำปรึกษา แต่ครั้นพอเริ่มเห็นเวลาไล่หลังมาเรื่อยๆ หากออกมาเปิดตัว สร้างพื้นที่ตัวเองในสื่อช้า ก็อาจไม่ทันการ
ยิ่งตอนนี้ ไม่เหมือนยุคยังเป็นรัฐมนตรีในรัฐบาลคสช.แล้วไปซุ่มตั้งพรรคพลังประชารัฐ ที่ตอนนั้นมีอำนาจรัฐ เป็นรัฐมนตรี เป็นแกนนำรัฐบาล ทำให้การทำพรรคการเมือง การขอแรงจากฝ่ายต่างๆ เลยง่าย มีแต่คนวิ่งเข้ามาสนับสนุน แต่ยามนี้ “ไร้หัวโขน-ขาลอย” ไม่มีตำแหน่งการเมืองใดๆ บารมีก็หดหาย หากคิดตั้งพรรคจริง แต่ยังมัวแต่แอ็คท่า คงไม่ทันการเสียแล้ว
ทำให้ตอนนี้ เริ่มเห็นความเคลื่อนไหวของ ทีม 4 กุมาร ให้เห็นแล้ว โดยเฉพาะ “อุตตม สาวนายน” ที่เปิดตัวกลุ่ม “สถาบันอนาคตไทยศึกษา ThailandFuture Foundation” หรือเรียกสั้นๆ “ไทยแลนด์ฟิวเจอร์” ที่จับทางได้ว่า ทางกลุ่มพยายามพรีเซนต์ว่า เป็นการรวมคนทุกรุ่น คนรุ่นใหม่ จากภาคส่วนต่างๆ ทุกอาชีพ นักวิชาการมหาวิทยาลัย กลุ่มนักธุรกิจสตาร์ทอัพ เพื่อร่วมกันเสนอแนวทางการแก้ปัญหาต่างๆ ให้กับประเทศโดยตอนนี้เน้นในเรื่อง การรับมือโควิดและพลิกฟื้นประเทศไทย
ที่ข่าวว่าหลังจากนี้ “กลุ่มไทยแลนด์ฟิวเจอร์” จะเริ่มออกมาชิงพื้นที่หน้าสื่อมากขึ้นเรื่อยๆ หลังจากตั้งหลักมาได้สักระยะแล้ว พบว่าคีย์แมนที่วางแผนการขับเคลื่อนของไทยแลนด์ฟิวเจอร์ ทาง “ดร.สมคิด” ส่งทั้ง “ดร.ณภัทร จาตุศรีพิทักษ์” บุตรชายตัวเอง และหลานชาย “ณัฐพร จาตุศรีพิทักษ์” อดีตโฆษกประจำรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ สมัยรัฐบาล คสช. มาช่วยทำเรื่องการสื่อสาร และคอนเทนต์ในการเสนอแนวคิดของกลุ่ม ที่ระยะแรกเน้นการสื่อสารทางการเมืองผ่านสื่อโซเชียลมีเดีย โดยระยะแรก วางตัวให้ “อุตตม” เป็นตัวแทนหลักของกลุ่มคนเดียวไปก่อน จากนั้นพอผ่านไปอีกสักระยะ ทางกลุ่มจะเริ่มพรีเซนตความเป็นกลุ่ม ไทยแลนด์ฟิวเจอร์ ในลักษณะของทีมมากขึ้น
โดยเบื้องต้นเมื่อช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา “อุตตม” ได้เผยแพร่คลิปวิดีโอผ่านสื่อมวลชน ถึงวัตถุประสงค์การตั้งทีม “สถาบันไทยอนาคตศึกษา” หรือ ThailandFuture โดยมีเนื้อหาโดยสรุปว่า ประเทศไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายครั้งสำคัญที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนจากปัญหาโควิดที่ส่งผลกระทบเฉียบพลันรุนแรงและกระจายสู่ทุกภาคส่วน จึงต้องร่วมกันจัดการต่อสถานการณ์โควิดให้มีประสิทธิภาพเพื่อความปลอดภัย
ซึ่งยึดโยงกับเรื่องปากท้องความเป็นอยู่ของประชาชนเช่นกัน และจำเป็นต้องมองไปข้างหน้า คำนึงถึงอนาคตของประเทศไทยในภาวะที่โลกกำลังเปลี่ยนแปลงอย่างก้าวกระโดดในแทบทุกมิติของสังคม โควิดเป็นตัวเร่งที่มีอิทธิพลสูง ประเทศไทยจะขับเคลื่อนการพัฒนาในแนวทางใด ให้มีขีดความสามารถที่จะปรับตัวและจัดการกับความท้าทายใหม่ๆ ขณะเดียวกันก็สามารถสร้างโอกาสดีๆ และความมั่นคงในชีวิตให้กับคนรุ่นต่อๆ ไป
“จากโจทย์ที่สำคัญเหล่านี้ ทีม ThailandFuture จึงเกิดขึ้นจากการรวมตัวของกลุ่มคนจากหลายภาคส่วน หลากหลายประสบการณ์และอาชีพ จากทั้งภาคเอกชนและภาครัฐ รวมทั้งหลายช่วงอายุ โดยอาสาทำงานแบบเวทีเปิดโอเพ่นแพลตฟอร์ม ที่ส่งเสริมสนับสนุน การรวมพลังความคิดของคนไทย เพื่อร่วมกันคิด วิเคราะห์และตกผลึกในการแก้ไขปัญหา อุปสรรคที่สั่งสมมานาน รวมทั้งขับเคลื่อนการพัฒนาของประเทศอย่างคลอบคลุมและยั่งยืน”
พร้อมกับทิ้งท้ายว่า ขอเชิญชวนทุกคนมาสัมผัส ThailandFuture มาพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิด มุมมองกับทีมงาน เพื่อให้เรามีส่วนร่วมในการสร้างอนาคตไทยด้วยกัน
ข่าวบางกระแสบอกว่า กลุ่ม 4 กุมารและทีมของสมคิด อยู่ระหว่างการตัดสินใจเรื่องการตั้งพรรคการเมือง ว่าจะดำเนินการต่อไปอย่างไร โดยจะรอดูทิศทางการเมืองให้ชัดมากกว่านี้ เช่น การแก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตราในเวลานี้ว่า สุดท้ายแล้วจะกลับไปใช้ระบบการเลือกตั้งแบบบัตรสองใบแบบรัฐธรรมนูญปี 2540 หรือไม่ และหากใช้ระบบดังกล่าว จะมีผลต่อพรรคการเมืองตั้งใหม่ อย่างไร รวมถึงการดูองค์ประกอบอื่นๆ เช่น กลุ่มที่จะมาสนับสนุนการทำพรรคการเมืองของกลุ่มไทยแลนด์ฟิวเจอร์ ที่หากเปิดตัวตั้งพรรคการเมืองแล้ว จะมีเข้ามามากน้อยแค่ไหน เป็นต้น แต่ข่าวบางกระแสก็มองว่า ถึงตอนนี้มีความเป็นไปได้ที่ “กลุ่ม 4 กุมาร” น่าจะตั้งพรรคการเมือง หลังซุ่มเงียบใช้เวลาขบคิด เดินสายไปคุยกับคนหลายกลุ่ม เพียงแต่ยังรอจังหวะเวลาที่เหมาะสมเพื่อเปิดตัว
ก่อนหน้านี้ เรื่องกลุ่มสมคิด-อุตตม ขยับตั้งพรรคการเมือง ก็เริ่มเป็นข่าวมาตั้งแต่ตอนพ.ค.2563 โดยตอนนั้น สมคิดและกลุ่มสี่กุมาร เริ่มถูกคนในพลังประชารัฐด้วยกันเอง จ้องเลื่อยขา เอาทั้งตำแหน่งรัฐมนตรีและตำแหน่งในพลังประชารัฐ ไปจากกลุ่มสมคิด-อุตตม
ตอนนั้นเริ่มมีข่าวลือ ทำนองว่า “กลุ่มสี่กุมาร” ก็ไม่ง้อ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หากจะโดนยึดตำแหน่งทั้งหมด เพราะมีการวางแผน จัดตั้งพรรคการเมืองรองรับคนในกลุ่มไว้แล้ว โดยลือถึงขั้นว่า กลุ่มสี่กุมาร นำโดย สมคิด จาตุศรีพิทักษ์-อุตตม สาวนายน-น.ส.วทันยา วงศ์โอภาสี ส.ส. บัญชีรายชื่อ พลังประชารัฐ หรือ “มาดามเดียร์” รวมทั้งนักธุรกิจคนนอก นัดพูดคุยกันที่โรงแรมหรรษา ย่านหลังสวน เพื่อเตรียมตั้งพรรคใหม่ ที่จะใช้ชื่อว่าพรรค “สร้างไทย”
แต่สุดท้าย “บิ๊กป้อม” และแกนนำหลายกลุ่มในพลังประชารัฐ ก็ไม่สนใจเพราะเห็นแล้วว่า กลุ่มสมคิด-กลุ่มสี่กุมาร ไม่มีอำนาจการต่อรองในพรรคพลังประชารัฐและในรัฐบาล เลยจับมือกันแทงหลังกลุ่มสมคิด-อุตตม จนสะบักสะบอม เล่นเกมใต้ดิน บีบหนัก เพื่อไล่ยึดเก้าอี้ หัวหน้าพรรคของอุตตม และเลขาธิการพรรคของสนธิรัตน์ รวมถึงเก้าอี้รัฐมนตรีของกลุ่มสี่กุมาร รวมสี่เก้าอี้ จนกลุ่มสี่กุมาร ต้องแก้เก้อ ชิงลาออกจากทั้งกรรมการบริหารพรรค และเก้าอี้รัฐมนตรี ก่อนจะโดนเฉดหัวทิ้ง
จนเป็นแค้นฝังลึก ที่คนในกลุ่มสี่กุมาร ก็อยากพิสูจน์ตัวเองให้คนในพลังประชารัฐได้เห็นว่า หาก “สมคิด-อุตตม-สนธิรัตน์-สุวิทย์-กอบศักดิ์” คิดจะทำพรรคการเมืองขึ้นมาจริง ก็สามารถทำได้คนการเมืองเลยเชื่อกันว่า กลุ่มสมคิด-สี่กุมาร คงอยากล้างตา ตั้งพรรคการเมืองที่เป็นพรรคของตัวเองขึ้นมาจริง ๆ สักพรรคหนึ่ง
ThailandFuture ของกลุ่มสมคิด-สี่กุมาร ที่เริ่มเปิดตัวออกมา จึงน่าจะเป็นการหยั่งเชิง ทดสอบกระแส ดูก่อนเพื่อประเมินว่า หากอนาคตจะขยับขยายไปเป็นพรรคการเมือง จะไปไหวหรือไม่ ซึ่งเป็นไปได้ว่า ถ้ากลุ่มสมคิด-สี่กุมาร เห็นว่า พอเข็นไหว การตั้งพรรคการเมือง ก็มีสิทธิ์เกิดขึ้นได้
…………………………………..
คอลัมน์ : ส่องป้อมค่ายการเมือง
โดย…“พระจันทร์เสี้ยว”