เดือน “สิงหาคม” นี้ เห็นได้ชัด “พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา” นายกรัฐมนตรี ต้องแบกน้ำหนัก สู้ทางการเมืองทั้งในและนอกรัฐสภา…หลายยก
หลังหอกดาบการเมืองสารพัด ถูกปล่อยออกมาจากฝ่ายตรงข้ามเพื่อพุ่งตรงหวังแทงเข้าใส่ ลำตัว “บิ๊กตู่” ให้แดดิ้นตายทางการเมืองโดยเร็ว ในช่วงนาทีทอง ที่ฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองรอมานานในการโค่นล้มอำนาจพลเอกประยุทธ์และเครือข่าย 3 ป. ที่กำลังมีปัญหาเรื่องการแก้ปัญหาโควิด-การบริหารจัดการวัคซีน
เมื่อสบโอกาส ฝ่ายตรงข้ามทั้งในส่วนของพรรคฝ่ายค้านและกลุ่มก้อนการเมืองนอกรัฐสภา จึงใช้ทุกช่องทาง ทิ่มแทง-รุกไล่ “พลเอกประยุทธ์” อย่างหนักในช่วงเดือนสิงหาคมนี้
ไม่ว่าจะเป็นกรณีพลเอกประยุทธ์ใช้อำนาจตามพรก.สถานการณ์ฉุกเฉินฯ ออกข้อกำหนดที่ถูกมองว่า จำกัดเสรีภาพสื่อมวลชน จนมีผู้ไปยื่นร้องต่อศาลแพ่งและศาลมีคำสั่งให้คุ้มครองชั่วคราว ไม่มีผลบังคับใช้ จนต่อมาศาลแพ่งมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว ไม่ให้บังคับใช้ข้อกำหนดการควบคุมฯดังกล่าว
ซึ่งแม้ต่อให้พลเอกประยุทธ์จะมีการแก้ไขคำสั่งดังกล่าวให้สอดคล้องกับคำสั่งศาลแพ่งไปแล้ว อีกทั้งก่อนหน้าศาลแพ่งจะมีคำสั่งดังกล่าว พลเอกประยุทธ์และรัฐบาล ก็ยังไม่ได้มีการดำเนินการใดๆ หลังมีคำสั่งออกมา
ทว่าพรรคร่วมฝ่ายค้าน เมื่อเห็นพอมีโอกาสทางข้อกฎหมายที่จะไล่ทุบพลเอกประยุทธ์ได้ ก็เลยรีบตบเท้ายื่นเรื่องต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)ให้ไต่สวนพล.อ.ประยุทธ์ โดยตั้งข้อกล่าวหาว่าใช้อำนาจโดยมิชอบตาม พ.ร.ก.บริหารราชการฉุกเฉิน ออกข้อกำหนดห้ามสื่อมวลชนเสนอข่าวที่สร้างความหวาดกลัวและบิดเบือนความจริงช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดเชื้อโควิด-19
ภายใต้การตั้งข้อหาฉกรรจ์เอาผิดพลเอกประยุทธ์ไว้ 4 กระทง เช่น เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต-ผิดประมวลจริยธรรมร้ายแรง
การเดินเกม หวังให้ ป.ป.ช.ไต่สวนดำเนินคดีพลเอกประยุทธ์รอบนี้ ถามว่า ฝ่ายค้านคาดหวังไว้สูงหรือไม่ว่าป.ป.ช.จะสอย “บิ๊กตู่” จนร่วง ตั้งแต่ทำให้พลเอกประยุทธ์ต้องหยุดพักการปฏิบัติหน้าที่ หากส่งเรื่องไปยังศาลฎีกาฯ แล้วศาลฎีกาฯประทับรับฟ้อง หรือทำให้หลุดจากเก้าอี้นายกฯไปเลย หากศาลตัดสินว่าพลเอกประยุทธ์ ออกคำสั่งดังกล่าวโดยขัดรัฐธรรมนูญ
ของแบบนี้ ว่ากันตามจริง “ฝ่ายค้าน” ไม่ได้หวัง “ป.ป.ช.” จะทำให้ “พลเอกประยุทธ์” หลุดจากเก้าอี้อยู่แล้ว
เหตุเพราะมองว่า ด้วยกระบวนการทำงานของป.ป.ช. กว่าจะพิจารณาคำร้อง หรือแม้แต่ต่อให้มีการตั้งอนุกรรมการไต่สวน กระบวนการทั้งหมดใช้เวลาพอสมควร น่าจะเกินปีแน่นอน เส้นทางคดี เผลอๆ ไม่ทันอายุของรัฐบาลชุดนี้ที่เหลืออีกหนึ่งปีกว่า แต่ที่ฝ่ายค้านต้องแอ็คชั่น ก็เพื่อให้เป็นประเด็น “รุกขยี้” พลเอกประยุทธ์ ช่องทางไหน…พอทำได้ ก็ต้องทำ
พูดง่ายๆ หากป.ป.ช.เอาด้วย รับเรื่องไว้ไต่สวน มันก็เข้าทางฝ่ายค้าน แต่หากไม่รับเรื่องหรือรับแล้วแต่สุดท้าย ป.ป.ช. ไม่เอาผิดพลเอกประยุทธ์ ฝ่ายค้านก็พลิกมาเล่นบท สวดยับป.ป.ช. ทำนอง “ปล่อย-อุ้ม พลเอกประยุทธ์ เพื่อดิสเครดิต ป.ป.ช.” ที่ฝ่ายค้านมองว่า “กรรมการบางคน” มีความใกล้ชิดกับแกนนำรัฐบาล
เรียกว่า “ฝ่ายค้าน” หวังผลทั้งขึ้นทั้งล่อง เอาผิดนายกฯไม่ได้ ก็เบนเป้าถล่มป.ป.ช. ดิสเครดิตองค์กรอิสระ แทน ไม่มีเสียเที่ยวแน่นอน
เฉกเช่นเดียวกับ จังหวะการเดินของ “พรรคไทยสร้างไทย” ที่แม้จะเป็นพรรคใหม่ ยังไม่มีส.ส.ในสภาฯ แต่เพราะวางตำแหน่งตัวเอง เป็นพรรคอยู่ฝ่ายตรงข้ามกับพลเอกประยุทธ์ อีกทั้งความเป็นพรรคน้องใหม่ จึงต้องเร่งสร้างผลงานให้ปรากฏ
“ไทยสร้างไทย” โดยการนำของ “หญิงหน่อย-คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์” ประธานพรรคไทยสร้างไทย ก็เลยต้องร่วมวงชิงจังหวะ ไล่บี้พลเอกประยุทธ์เช่นกัน
โดยดาบแรก ที่ไทยสร้างไทย หวังสร้างเป็นผลงานก็คือการเป็น “เจ้าภาพ” ยื่นฟ้องต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง เพื่อเอาผิดพลเอกประยุทธ์ เมื่อวันศุกร์ที่ 13 สิงหาคมทีผ่านมา พร้อมกับการอ้างอิงรายชื่อประชาชนร่วม 700,000 รายชื่อ ที่ร่วมลงชื่อสนับสนุนให้ยื่นฟ้องเอาผิดพล.อ.ประยุทธ์ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และมาตรา 165 ฐานปล่อยปละละเลย เเละบริหารผิดพลาด จนเกิดการแพร่ระบาดโรคไวรัสโควิด รวมทั้งบริหารจัดการวัคซีนผิดพลาดบกพร่องอย่างร้ายแรงทำให้จํานวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจนระบบสาธารณสุขปกติไม่สามารถรองรับผู้ป่วยจํานวนมากดังกล่าวได้
ทั้งนี้ คำร้องเอาผิดพลเอกประยุทธ์ดังกล่าว ศาลอาญาคดีทุจริตฯ นัดฟังคำสั่งในชั้นตรวจคำฟ้องวันที่ 30 ส.ค.นี้
และอีกศึกหนัก ที่รออยู่ ก็คือ “ศึกซักฟอก-เปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ” ที่พรรคร่วมฝ่ายค้าน ดีเดย์จะยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล ต่อประธานสภาฯ จันทร์ที่ 16 ส.ค.นี้ ที่ข่าวว่าตามโผจะมีรัฐมนตรีถูกยื่นซักฟอกร่วมๆ 5-6 คน แต่ที่ไม่ต้องเดาชื่อให้ยาก สองชื่อนี้ มีแน่และฝ่ายค้านจัดหนักจัดเต็มแน่นอน ก็คือ พลเอกประยุทธ์ นายกฯและอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯและรมว.สาธารณสุข ข้อหาหลักที่ฝ่ายค้าน จะจับ “บิ๊กตู่-เสี่ยหนู” ขึ้นเขียง ก็คือ…
“วิกฤตโรคระบาดโควิด-การบริหารจัดการเรื่องวัคซีน”
อภิปรายไม่ไว้วางใจรอบนี้ ฝ่ายค้านหวังผลการซักฟอกพลเอกประยุทธ์ไว้สูงมาก โดยหวังว่า จะใช้เวลาซักฟอกอย่างน้อยสามวันสามคืน เปิดแผลรัฐบาลโดยเฉพาะพลเอกประยุทธ์ ให้ได้มากที่สุด ซึ่งแม้จะไม่มีเรื่องทุจริตฯ แต่จะพุ่งเป้าไปที่การบริหารงานที่ผิดพลาดในเรื่องโควิด ซึ่งฝ่ายค้านเชื่อว่า จะปลุกกระแสให้คนไม่พอใจรัฐบาลและพลเอกประยุทธ์ได้มากโดยเฉพาะเรื่อง “คนป่วย-คนตาย-คนเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลไม่ได้” จนทำให้จบศึกซักฟอกแล้ว ก็ยังนำไปขยายผลทางการเมืองต่อได้โดยเฉพาะ “ม็อบนอกสภาฯ”
ที่แลเห็นชัดว่า ตั้งแต่เดือนสิงหาคมเป็นต้นมา การเคลื่อนไหวของม็อบไล่บิ๊กตู่ เกิดขึ้นต่อเนื่อง แม้ต่อให้มีคนติดเชื้อโควิดรายใหม่สองหมื่นกว่าคน แต่ก็ยังมีกลุ่มคนจำนวนหนึ่งยังออกมาร่วมเคลื่อนไหว แม้จะมีเหตุการณ์รุนแรง การปะทะกับตำรวจอย่างหนัก แม้กลุ่มที่ออกมา จะเป็นสายฮาร์ดคอร์ก็ตาม
กระนั้นในเชิงการเมือง “ฝ่ายค้าน” และ “ผู้อยู่เบื้องหลัง” การสนับสนุนม็อบ จริงๆ ไม่ได้ต้องการให้ประชาชนกลุ่มฮาร์ดคอร์-เด็กอาชีวะ เป็นกลุ่มหลักในการเคลื่อนไหวกดดันพลเอกประยุทธ์ แต่ต้องการกลุ่มประชาชนทั่วไป ออกมาร่วมเคลื่อนไหวมากกว่า
เพราะฝ่ายค้านและแกนนำม็อบต่างๆ ก็รู้ดีว่า หากม็อบเคลื่อนไหวด้วยลักษณะฮาร์ดคอร์ เกิดภาพรุนแรง อย่างที่เกิดเหตุขึ้นทั้ง 7 ส.ค.-10 ส.ค.-11 ส.ค.-13 ส.ค. บริเวณแยกดินแดง-อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ
ถ้าภาพยังออกมาแบบนี้เรื่อยๆ “ระยะยาว” มันไม่เป็นผลดีต่อการเคลื่อนไหว เพราะจะได้แต่ความรุนแรง เป้าหมายที่เรียกร้อง จะยิ่งหมดความชอบธรรม ขาดพลังในการดึงแนวร่วมประชาชนให้เข้ามาร่วมชุมนุม จนทำให้กลุ่มคนที่มาร่วมก็จะเป็นแค่คนกลุ่มเดิมๆ แต่ประชาชนส่วนใหญ่ ที่ปกติก็ไม่อยากออกมาร่วมด้วยเพราะกลัวโควิด ก็จะยิ่งไม่ออกมามากขึ้นไปอีก เพราะเกรงได้รับอันตรายโดนลูกหลงในการชุมนุม
ด้วยเหตุนี้ จึงคาดว่า ฝายการเมือง-ผู้สนับสนุนการเคลื่อนไหวของม็อบไล่พลเอกประยุทธ์ จึงคาดหวังกับม็อบ Car Park ที่นำโดย “ณัฐวุฒิ ใสเกื้อ” แกนนำเสื้อแดง ที่มีสัมพันธ์แนบแน่นกับฝ่ายค้าน ที่นัดชุมนุมใหญ่อาทิตย์ที่ 15 ส.ค.นี้มากกว่า เพราะมองว่า หาก Car Park จุดติด ดึงแนวร่วมประชาชนทั่วไปให้ออกมาร่วมได้จำนวนหนึ่งและไม่เกิดเหตุรุนแรง ก็จะทำให้ม็อบ Car Park กลายเป็นม็อบหลักในการกดดันพลเอกประยุทธ์ทันที หลังม็อบคณะราษฏรฯจัดขบวนได้ลำบาก เพราะแกนนำม็อบหลายคนโดนถอนประกันตัว ทำให้ขยับได้ยากแล้ว
ที่ก็คาดว่า หากม็อบ Car Park 15 ส.ค. จัดขบวนได้ “ณัฐวุฒิ” ก็จะเป็นกองกำลังหลักนอกรัฐสภาของฝ่ายตรงข้ามพลเอกประยุทธ์ ในการเดินเกมแบบคู่ขนานกับฝ่ายค้าน ในการบดขยี้ กดดัน “บิ๊กตู่” ต่อไป โดยเฉพาะหลังการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ที่คาดว่า ม็อบโดยการนำของ “ณัฐวุฒิ” จะเคลื่อนไหวหนักยิ่งกว่าตอนนี้หลายเท่า
สุดท้ายแล้ว พลเอกประยุทธ์จะประคองตัวฝ่า มรสุมคลื่นลมแรงทางการเมืองเวลานี้ ที่ฝ่ายตรงข้าม ใช้หอกดาบสารพัดทางการเมืองและข้อกฎหมาย ไล่บดขยี้ ไปจนถึงสิ้นปีนี้ได้หรือไม่ จึงน่าสนใจยิ่ง
แม้แวดวงการเมือง ยังเชื่อว่า พลเอกประยุทธ์จะอยู่จนครบเทอมก็ตาม เพราะของแบบนี้ มันก็ไม่แน่เสมอไป!
…………………………………..
คอลัมน์ : ส่องป้อมค่ายการเมือง
โดย “พระจันทร์เสี้ยว”