วันศุกร์, พฤศจิกายน 22, 2024
spot_img
หน้าแรกCOLUMNISTS3 ป. VS ธรรมนัส “สัมพันธ์”ที่ไม่มีทางเหมือนเดิม
- Advertisment -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

3 ป. VS ธรรมนัส “สัมพันธ์”ที่ไม่มีทางเหมือนเดิม

รูดม่านปิดฉากการเมืองเรื่อง “ศึกซักฟอก-เปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ” ไปแล้ว บนเสียงเฮของกองหนุน “ลุงตู่-พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี” หลังพลเอกประยุทธ์ยังได้ไปต่อ ไม่โดนคนกันเองในพลังประชารัฐ แทงข้างหลัง จนต้องกลายเป็นนายกรัฐมนตรีคนแรกในประวัติศาสตร์การเมืองไทย ที่ถูกสภาฯลงมติ ไม่ไว้วางใจ จนต้องหลุดจากนายกฯกลางสภาฯ

หลังจบศึกซักฟอกรอบนี้ ดูแล้ว เชื่อได้ว่า ศึกที่ผ่านพ้นไป จะยิ่งเพิ่มความแข็งแกร่ง-เชี่ยวกรากทางการเมืองให้กับพลเอกประยุทธ์มากยิ่งขึ้น กับประสบการณ์ทางการเมืองที่ได้รับในรอบนี้ เพราะทำให้บิ๊กตู่ได้เห็นความเขี้ยวลากดิน-กลเกมการเมือง-การต่อรอง-การกดดันทั้ง ในสภาฯและนอกสภาฯ ที่พุ่งเป้าไปที่พลเอกประยุทธ์โดยตรง ชนิดว่ากว่าจะแก้เกมได้ ก็เล่นเอาเหงื่อตก ไปหลายยก

เพราะก่อนหน้านี้ พลเอกประยุทธ์อาจต้องคอยวางแผน รับมือ ฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองของตัวเองมาร่วม 7 ปี แต่รอบนี้ พลเอกประยุทธ์ต้องพลิกทั้ง…

ตำรายุทธศาสตร์การเมือง- การเดินเกมการเมืองบนดิน-ใต้ดิน -สงครามการข่าว

เพื่อคอยรับมือกับ “พวกเดียวกัน-คนกันเอง” ในรัฐบาล ที่จ้องแทงข้างหลัง ที่รับมือยากยิ่งกว่า รับมือฝ่ายตรงข้ามเสียอีก จึงไม่แปลกที่หลังเคลียร์ปัญหาในพลังประชารัฐมาได้ สีหน้าของพลเอกประยุทธ์ ก็ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดในช่วงเย็นวันศุกร์ที่ 3 ก.ย. ที่พลเอกประยุทธ์ปรากฏตัวที่รัฐสภา หลังกลับจากการไปเคลียร์ใจ-เปิดใจ กับ “ธรรมนัส พรหมเผ่า” เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ และส.ส.พลังประชารัฐ หลายสิบคนที่มูลนิธิป่ารอยต่อฯ

นายกฯตรวจเยี่ยมรพ.สนาม รพ. พระมงกุฎเกล้า 20 ส.ค.64

ที่สุดท้าย “พี่น้อง 3 ป.” พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ-พลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา-พลเอกประยุทธ์ นอกจากแสดงให้เห็นถึงสายสัมพันธ์ “เลือดข้นกว่าน้ำ” แล้ว พี่น้องสาม ป. ก็จับมือกันพลิกสถานการณ์จากที่ถูกรุกไล่ จากกลุ่มส.ส.พลังประชารัฐ สายธรรมนัส พรหมเผ่า ได้สำเร็จ พร้อมกับการซื้อใจ ส.ส.พลังประชารัฐ บนการรับปากจะเปลี่ยนท่าทีทางการเมือง โดยจะหันเข้าหาส.ส.พลังประชารัฐให้มากขึ้น

จนความคุกรุ่นในพลังประชารัฐ ที่เกิดขึ้นตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา จบลงในช่วงการเปิดใจ เพียงชั่วโมงเศษๆ ที่มูลนิธิป่ารอยต่อฯ แม้สุดท้าย ผลโหวตจะออกมาว่า พลเอกประยุทธ์ได้คะแนนไว้วางใจรองบ๊วย เป็นรองแค่ สุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน และได้คะแนนไม่ไว้วางใจมากที่สุดในบรรดา 6 รัฐมนตรีที่ถูกซักฟอกก็ตาม

การรับมือกับแรงกดดัน-การต่อรอง ภายในพลังประชารัฐ ที่ผ่านพ้นไป เชื่อได้ว่า พลเอกประยุทธ์สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้มากมาย บนเส้นทางการเมืองต่อจากนี้

ยิ่งเมื่อฝ่ายค้าน ชิงยื่นเปิดซักฟอก ในสมัยประชุมสภาฯรอบนี้ไปแล้ว และสภาฯจะปิดสมัยประชุมวันที่ 18 ก.ย. นี้ จากนั้น ก็จะปิดสภาฯ ไปสองเดือน แล้วกลับมาเปิดสภาฯอีกครั้งช่วง กลางเดือนพ.ย. ซึ่งสมัยประชุมสภาฯรอบหน้า ที่อยู่ในวงรอบสี่เดือน คือจะอยู่ในช่วง พ.ย. 2564-มี.ค. 2565 ฝ่ายค้าน ไม่สามารถยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจได้แล้ว จะทำได้ก็แค่การเปิดอภิปรายแบบไม่ลงมติ ไม่มีการออกเสียงใดๆ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 152 ที่ก็จะทำได้เพียงครั้งเดียวในสมัยประชุม และส่วนใหญ่ ก็จะอภิปรายกันแค่วันเดียวก็จบ

ห้องประชุมสภา

จากนั้น ก็จะปิดสมัยประชุมไปอีกสองเดือน แล้วมาเปิดสมัยประชุมสภาฯอีกครั้งช่วงเดือน พ.ค. 2565        เท่ากับว่า ในช่วง 8 เดือนต่อจากนี้ ถ้าไม่มีอุบัติเหตุการเมืองใดๆ ฝ่ายค้านไม่สามารถยื่นญัตติเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจพลเอกประยุทธ์และรัฐบาลได้อีกแล้ว

ถือได้ว่า เป็นช่วงปลอดโปร่งทางการเมือง สำหรับเสถียรภาพรัฐบาล บิ๊กตู่ เต็มๆ ที่ไม่ต้องห่วงกับการเปิดซักฟอกของรัฐบาล และทำให้กลุ่มการเมืองต่างๆ ในพลังประชารัฐ ไม่สามารถไปกดดันพลเอกประยุทธ์ได้

เพราะหมดเงื่อนไข ที่กลุ่มส.ส.พลังประชารัฐ จะมาก่อหวอดอะไรได้แบบตอนศึกซักฟอก เพราะหากจะขู่เช่น  หากไม่ปรับครม.หรือปรับครม.แล้วกลุ่มตัวเองไม่ได้ตำแหน่งที่ดีขึ้น ก็จะไม่ยกมือสนับสนุนกฎหมายสำคัญของรัฐบาล จนทำให้กฎหมายไม่ผ่านสภาฯ

ถ้าเกิดเหตุเช่นนี้ พลเอกประยุทธ์ก็ต้องยุบสภาฯสถานเดียว ซึ่งเป็นสิ่งที่ส.ส. ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลหรือฝ่ายค้าน แม้แต่กลุ่มธรรมนัส ล้วนไม่ต้องการทั้งสิ้น ทุกฝ่ายต่างต้องการเป็นส.ส.ให้นานที่สุด ไม่มีใครอยากลงเลือกตั้ง ถ้าไม่จำเป็น 

ด้วยเหตุนี้ จากเงื่อนไข แปดเดือนต่อจากนี้ เป็นช่วงปลอดโปร่ง ทางโล่ง จึงไม่แปลกที่ใครต่อใคร จะมองว่า ผ่านศึกซักฟอกรอบนี้มาได้ “บิ๊กตู่-อยู่ยาว” เพราะเงื่อนไขในสภาฯ ปลดล็อกไปแล้ว อย่างน้อยก็อีกแปดเดือน ขณะที่เงื่อนไขนอกสภาฯ เช่น “สารพัดม็อบ” ยิ่งไม่ต้องพูดถึง เพราะม็อบทุกวันนี้ อ่อนแรง-เคลื่อนไหวแบบไร้ทิศทาง

ถึงต่อให้จบโควิด ม็อบจะกลับมาแรงกว่าปัจจุบัน แต่ด้วยอุปนิสัยของพลเอกประยุทธ์ ต่อให้ม็อบแรงแค่ไหน ก็ไม่มีทางที่ พลเอกประยุทธ์จะยอม จนต้องลาออกหรือยุบสภาฯ 

สถานการณ์ข้างต้นทั้งหมด บ่งชี้้ไปในทางเดียวกัน ที่ใครต่อใคร ประเมินว่า พลเอกประยุทธ์จะยุบสภาหรือลาออก ช่วงปลายปี หรือต้นปีหน้า ถ้าดูจากเงื่อนไขต่างๆ ถึงตอนนี้เป็นไปได้ยากเสียแล้ว

ไม่ว่าจะเป็นเงื่อนไข แปดเดือนต่อจากนี้ ทางโล่ง สภาฯเปิดซักฟอกสมัยประชุมหน้าไม่ได้ ผนวกกับสัปดาห์หน้านี้ วันศุกร์ที่ 10 ก.ย. หากที่ประชุมร่วมรัฐสภา ลงมติเห็นชอบการแก้ไขรธน.วาระสามเรื่อง “บัตรสองใบ” ขั้นตอนต่อไป ก็ต้องไปแก้ไขพรบ.การเลือกตั้งส.ส.ฯอีก ที่ใช้เวลาอย่างน้อยก็ 5-6 เดือน คือกว่าจะเสร็จ เร็วสุดก็ประมาณ ก.พ.-มี.ค. ปีหน้า ฝ่ายค้านอย่างเพื่อไทย ก็อยากให้บัตรเลือกตั้งสองใบ เกิดขึ้นให้ได้ ทำให้ ฝ่ายค้าน ก็ไม่อยากให้มีการยุบสภา เกิดขึ้น  

ด้วยเงื่อนไขและปฏิทินการเมืองข้างต้น หากไม่มีสถานการณ์แทรกซ้อน ทำให้ดูแล้ว ถ้าทุกอย่างเดินไปแบบนี้ รัฐนาวาบิ๊กตู่ อย่างน้อย น่าจะไปได้ตลอดรอดฝั่ง จนถึงเดือนพ.ค. ปีหน้าเลยทีเดียว

อย่างไรก็ตาม ควันหลงการเมือง แม้ศึกซักฟอกจะจบไปแล้ว แต่ฉากการเมือง ที่ต้องติดตามต่อจากนี้ ต้องจับจ้องไปที่สองจุดหลักคือ

1.ท่าทีและการปรับตัวทางการเมืองของพี่น้อง 3 ป.

โดยเฉพาะ บิ๊กตู่-บิ๊กป๊อก พลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา ที่ต้องปรับตัวขนานใหญ่ หลังส.ส.พลังประชารัฐ หลายสิบคน บอกต่อหน้าพลเอกประยุทธ์และพลเอกอนุพงษ์ ที่มูลนิธิป่ารอยต่อฯ ว่า ไม่ค่อยพอใจที่ทั้งสองคน ทำตัวเหินห่าง ลอยตัว กับส.ส.

จนทั้งสองคนรับปากจะปรับท่าที ทำให้ต่อจากนี้ บิ๊กตู่-บิ๊กป๊อก จะต้องเพิ่มระดับความสัมพันธ์กับส.ส.-นักการเมือง พลังประชารัฐมากขึ้น จะมาทำแบบเดิม ๆประเภท อยากเจอต้องนัดล่วงหน้าเป็นสัปดาห์ ๆ หรือส.ส.ไปประสานงานอะไรบางอย่างในพื้นที่ แล้วไม่สนใจ คงไม่ได้แล้ว

www.thaigov.go.th

โดยเฉพาะ บิ๊กป๊อก ที่ส.ส.พลังประชารัฐ เกือบทั้งพรรค บอกตรงกัน เข้าพบยาก-ไม่ตอบสนองทางการเมือง-วางตัวเย่อหยิ่ง

จนเป็นที่มาของกระแสข่าว เลื่อยขาเก้าอี้ เพื่อเอาตำแหน่ง “มท.1” ให้ “ธรรมนัส” ที่ใจถึงพึ่งได้ สำหรับส.ส.พลังประชารัฐ จำนวนมาก  

ส่วนพี่ใหญ่บิ๊กป้อม ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร เพราะนับแต่ บิ๊กป้อม มาเป็นหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ถึงตอนนี้ ลุงป้อม ปรับตัวเป็นนักการเมืองเต็มตัว ลูกหนักลูกเบาทางการเมือง พลเอกประวิตรรับมือและออกหมัดตอบโต้ได้หมด

          

2.บทบาทและการเคลื่อนไหวของธรรมนัส และกลุ่ม 4 ช.

สิ่งที่ต้องจับตาก็คือ เมื่อธรรมนัสเปิดหน้าชนกับบิ๊กตู่ในระดับหนึ่ง ก่อนที่จะยอมหมอบหลังเคลียร์ใจกันได้

แล้วหลังจากนี้ไป สถานะของธรรมนัส ในรัฐบาลและพลังประชารัฐ จะเป็นอย่างไร กลุ่มธรรมนัสจะรอการปรับครม. เพื่อให้ตัวเองมีตำแหน่งใหญ่ขึ้นได้ถึงเมื่อใด เพราะดูท่าแล้ว บิ๊กตู่คงซื้อเวลาการปรับครม.ออกไปอย่างน้อย เร็วสุดก็อาจสิ้นปี ถ้าเป็นแบบนี้ กลุ่มธรรมนัสจะรอไหวหรือไม่ และหากสุดท้าย ถ้ามีการปรับครม.เกิดขึ้น

โดยบิ๊กตู่ไม่สนองตอบกลุ่มธรรมนัส โดยไม่ให้เก้าอี้รัฐมนตรีระดับว่าการฯ กับธรรมนัส รวมถึงไม่ปรับตำแหน่งอื่นๆ ให้กับรัฐมนตรีกลุ่ม 4 ช. ได้มีตำแหน่งใหญ่ขึ้น หาก กลุ่ม 4 ช. ไม่ได้อย่างที่ต้องการ จะมีการก่อหวอดอะไรในรัฐบาลและพลังประชารัฐ อีกหรือไม่

และสุดท้าย ถ้าต้องแตกหักกันจริงๆ กลุ่มธรรมนัสจะยกทีมออกจากพลังประชารัฐ กลับไปอยู่กับทักษิณ ชินวัตร-เจ๊แดง เยาวภา วงศ์สวัสดิ์ ที่พรรคเพื่อไทย รังเก่าหรือไม่ หรือว่าจะแยกตัวออกไปตั้งพรรคใหม่ ที่ตัวเองทำเองทั้งหมดตั้งแต่ลงเสาเข็มจนเปิดป้ายพรรค อย่างที่ธรรมนัสเคยบอกความฝันอันนี้ไว้กับส.ส.ในกลุ่มหรือไม่ ?

สองฉากการเมืองดังกล่าว คือสิ่งที่ต้องติดตามต่อจากนี้ ที่แม้ศึกซักฟอก และปัญหารอยร้าวในรัฐบาลและพลังประชารัฐ จะจบไปแล้ว แต่เป็นการจบแบบ ทิ้งร่องรอย บาดแผลการเมืองไว้กับคนที่เกี่ยวข้องมากมาย โดยเฉพาะ พี่น้อง 3 ป.และธรรมนัส กับพวก จนยากที่จะเชื่อใจกันได้เหมือนเดิมอีกต่อไป

……………………………

คอลัมน์ : ส่องป้อมค่ายการเมือง

โดย… “พระจันทร์เสี้ยว”                       

- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_imgspot_img

Featured

- Advertisment -spot_img
Advertismentspot_imgspot_img
spot_imgspot_img