ก่อนจะเปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎร รอบต่อไป 1 พ.ย. ในทางการเมือง ช่วงเดือนตุลาคมนี้ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ยังไงเสีย ต้องเคลียร์ปัญหาการเมืองภายในพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ให้หมดสิ้นกระแสความ ก่อนจะเปิดประชุมสภาฯ
หลังพลเอกประยุทธ์ ปลด “ธรรมนัส พรหมเผ่า” และ “นฤมล ภิญโญสินวัฒน์” พ้นจากการเป็นรัฐมนตรี จนเกิดผลพวงตามมาเรื่องกระแสข่าว “3 ป.” แตกคอ
เพราะหากไม่เคลียร์ให้จบ ความขุ่นข้องหมองใจบางอย่างของคนในพปชร.บางกลุ่ม อาจส่งผลต่อเสถียรภาพการเมืองของรัฐบาล ในสภาฯ หลังเปิดสภาฯ ต้นเดือนหน้าก็ได้
แม้จริงอยู่ว่า หลังเปิดประชุมสภาฯมา ฝ่ายค้านไม่สามารถยื่นขออภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีแบบลงมติได้ เพราะใช้โควต้าไปหมดแล้ว อีกทั้งตามปฏิทินการเมืองในช่วงหลังเปิดสภาฯ ทางรัฐบาลไม่ได้มีคิวจะเสนอร่างกฎหมายสำคัญอย่างร่างพ.ร.บ.งบประมาณฯ เข้าสู่การพิจารณาของสภาฯ ที่จะทำให้เกิดการต่อรอง-เคลื่อนไหว เรื่องเสียงโหวต จากบางฝ่ายในพปชร.ได้ แบบตอนที่ฝ่ายค้านยื่นซักฟอกไปรอบล่าสุด
อาจจะมีบ้างก็ร่างพ.ร.บ.บางฉบับของรัฐบาลที่รอนำเข้าสู่การพิจารณาอยู่เช่น ร่างพ.ร.บ.โรคติดต่อ (ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม) ที่เป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ.2558 (ฉบับปัจจุบัน) ซึ่งเป็นกฎหมายสำคัญของรัฐบาลในเรื่องการรับมือโควิด แต่ร่างแก้ไขกฎหมายดังกล่าว เป็นเรื่องเกี่ยวกับการรับมือกับโควิด ที่เป็นเรื่องสำคัญของประเทศ ทำให้คงไม่มีนักการเมืองคนไหนโดยเฉพาะในฝ่ายรัฐบาล คิดเอาเรื่องการเมืองมาต่อรอง กับการโหวตผ่านกฎหมาย เช่น ใช้จังหวะที่สภาฯจะพิจารณาร่างกฎหมายดังกล่าว มาต่อรองเก้าอี้รัฐมนตรี แล้วหากไม่ได้จะทำให้กฎหมายดังกล่าวโดนคว่ำกลางสภาฯ จนต้องมีการยุบสภาฯ
เพราะหากเกิดเหตุเช่นนั้น ในภาพรวม จะไม่เป็นผลดีต่อประชาชนและบุคลากรทางการแพทย์ ทำให้หากส.ส.รัฐบาลคนไหน คิดทำ จะส่งผลเสียกับตัวเองได้
จุดนี้ เลยทำให้ ดูเหมือนว่า ฝ่ายแกนนำพลังประชารัฐ บางส่วนก็ไม่ค่อยหนักใจ เกมการเมืองในสภาฯมากนัก หลัง 1 พ.ย. มากนักว่าจะทำให้เกิดจุดเปลี่ยน จนนายกฯต้องยุบสภาฯตามมา
อย่างไรก็ดี ดูแล้ว ยังไง ก่อนเปิดประชุมสภาฯ พลเอกประยุทธ์ คงมีการ “ปรับคณะรัฐมนตรี” แน่นอน เลี่ยงไม่ได้
เพียงแต่ว่า สูตรการปรับครม. จะเป็น “ปรับเล็ก” เพื่อไม่ให้เกิดแรงกระเพื่อมมากนักโดยเฉพาะใน พปชร. ที่ก็คือ อาจแค่หาคนมาเป็นรัฐมนตรีแทน “ธรรมนัส-นฤมล” สองคน ก็จบ หรือจะเลือก “ปรับใหญ่” ที่อาจเป็นการปรับรอบสุดท้ายก็ได้ หากว่า ในใจ “บิ๊กตู่” ประเมินว่า อาจมีการยุบสภาฯต้นปีหน้า หลังมีการแก้ไขพ.ร.บ.การเลือกตั้งส.ส. เพื่อให้สอดรับกับบัตรสองใบเสร็จ อย่างที่บางฝ่ายคาดการณ์
ที่พบว่า ตอนนี้ กระแสข่าวการปรับครม. เลยเริ่มมีออกมาแล้ว แม้รายชื่อที่ออกมาตามหน้าสื่อ พบว่า แวดวงการเมือง และนักการเมืองในฝ่ายรัฐบาล ดูจะมองว่า บางชื่อบางตำแหน่งตามที่เป็นข่าว ความเป็นไปได้ยังมีน้อยอยู่
โดยเฉพาะกรณี “ดร.ซุป-ศุภชัย พานิชภักดิ์” อดีตอดีตผู้อำนวยการใหญ่องค์การการค้าโลก (WTO)-อดีตรองนายกรัฐมนตรี” ที่มีลูกชายคือ “ปริญญ์ พานิชภักดิ์” ที่ตอนนี้เป็นรองหัวหน้าพรรคปชป.-หัวหน้าทีมนโยบายเศรษฐกิจ ที่ข่าวบอกว่า “ดร.ศุภชัย” มีชื่อรอเสียบเก้าอี้ รองนายกฯและรมว.พลังงาน แทน “สุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์” ที่อาจจะถูกปรับออก ซึ่งไม่ใช่แค่คนในพปชร.เท่านั้น ที่ดูจะงงกับข่าวดังกล่าว แม้แต่กับ “คนในประชาธิปัตย์” ก็ยังมึน จน “ปริญญ์” ต้องออกมาระบุว่า “ข่าวนี้ไม่น่าจะจริง เพราะบิดายังคงสนับสนุนใกล้ชิดกับพรรคประชาธิปัตย์อยู่ และยังเป็นมันสมองด้านเศรษฐกิจให้กับพรรคประชาธิปัตย์ด้วย”
อย่างไรก็ตาม เรื่องเสียงวิจารณ์บทบาทการทำงานของ “สุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์” ก็มีเสียงร่ำลือโดยอ้างว่ามาจากในทำเนียบรัฐบาล ทำนอง “บิ๊กตู่” ยังไม่ประทับใจหัวหน้าทีมเศรษฐกิจอย่าง “สุพัฒนพงษ์” มากนัก เพราะบทบาทการเป็นกัปตันทีมเศรษฐกิจ ยังไม่โดดเด่น เข้าตา นายกฯและแกนนำพลังประชารัฐหลายคน
โดยเฉพาะบทบาทการช่วยชี้แจงแทนนายกฯและรัฐบาล ในสภาฯ ในประเด็นเรื่องเศรษฐกิจ ซึ่งพลเอกประยุทธ์ไม่ชำนาญ และนายสุพัฒน์พงษ์ ถูกประเมินว่า ไม่สามารถมาปิดจุดอ่อนตรงนี้ของพลเอกประยุทธ์ได้ จนหลายครั้ง เวลามีการอภิปรายซักถามประเด็นเรื่องเศรษฐกิจ นายกฯเลยเสียแต้มให้ฝ่ายค้านกลางสภาฯ มาร่วมปีแล้ว
ไม่เหมือนกับยุคที่มี “สมคิด จาตุศรีพิทักษ์” เป็นรองนากยฯและหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ ที่ “ดร.สมคิด” สามารถยืนโต้-ศอกกลับฝ่ายค้าน กลางสภาฯเรื่องเศรษฐกิจได้ทุกประเด็น ชนิดไม่ต้องอ่านกระดาษในมือ ที่ผ่านมาเลยมีข่าวว่า พลเอกประยุทธ์กำลังหาทางแก้ไขปัญหานี้อยู่ จุดนี้เลยน่าจะเป็นที่มาของข่าวจะมีการปรับทีมเศรษฐกิจ โยนหินถามทางมาก็ได้ โดยเอาชื่อ “ดร.ซุป” มาวัดกระแสก่อน
อย่างไรก็ตาม อีกชื่อหนึ่งที่หลายคนกำลังรอดูอยู่ว่า จะมีชื่อเข้ามาเป็นรัฐมนตรีในการปรับครม.รอบนี้หรือไม่ ก็คือ “ลุงฉิ่ง-ฉัตรชัย พรหมเลิศ” อดีตปลัดกระทรวงมหาดไทย ที่เพิ่งเกษียณไปเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 30 ก.ย.ที่ผ่านมา
หลังข่าวหลายกระแสบอกว่า เรื่องการเตรียมตั้งพรรคการเมืองใหม่ของ “ลุงฉิ่ง” ที่จะเป็นพรรคพันธมิตรการเมืองกับพลังประชารัฐในการเลือกตั้งที่จะมีขึ้น ในลักษณะการจับมือกัน แล้วมาร่วมกันตั้งรัฐบาลหลังเลือกตั้ง ข่าวหลายกระแสอ้างว่า การตั้งพรรคการเมืองดังกล่าว
“ยังคงมีอยู่ ไม่ได้ล้มเลิกไป ทุกอย่างยังเหมือนเดิม”
เพียงแต่แผนต่างๆ ที่เคยวางไว้ ต้องมีการปรับเปลี่ยนไปตามสถานการณ์ เพราะก่อนหน้านี้ แนวคิดการตั้งพรรคใหม่ดังกล่าว เกิดขึ้นบนสูตรคือ ตั้งขึ้นเพื่อส่งคนลงเลือกตั้งในระบบบัตรใบเดียวแบบตอนเลือกตั้งปี 2562 เพราะตอนนั้น คนที่ร่วมวางแผนเรื่องนี้ ไม่มีใครคิดว่า การแก้ไขรธน.เรื่อง “บัตรสองใบ” จะสำเร็จ
เมื่อวันนี้ สถานการณ์เปลี่ยน “บัตรสองใบ” แนวโน้มจะฉลุย เลยทำให้ทีมงานที่ร่วมวางแผนตั้งพรรคใหม่กับ “ลุงฉิ่ง” เลยต้องปรับหมากกันพอสมควร แผนการต่างๆ ที่เคยวางไว้ เลยมีการดีเลย์ออกไป จนเกิดกระแสข่าว ดีลตั้งพรรคใหม่ของ “ลุงฉิ่ง” ส่อล้มกลางทาง เพราะเกมเปลี่ยน
ก่อนที่ต่อมา ข่าวพรรคใหม่ของ “ลุงฉิ่ง” จะดังขึ้นอีกครั้ง จากกรณี “พ.อ.สุชาติ จันทรโชติกุล” อดีตประธานยุทธศาสตร์ภาคใต้ พรรค พปชร. เพื่อนร่วมรุ่นตท.12 กับพล.อ.ประยุทธ์ ออกมาปูดเรื่อง เตรียมขนทีมเตรียมเลือกตั้งภาคใต้ของพลังประชารัฐ ไปร่วมตั้งพรรคใหม่กับ “ลุงฉิ่ง”
มันก็เป็นไปได้ว่า การตั้งพรรคใหม่ของ “ฉัตรชัย” อดีตปลัดมหาดไทย อาจกำลังดำเนินการกันแบบเงียบๆ กันอยู่ เพียงแต่ยังรอดูสถานการณ์บางอย่างอยู่
แต่ระหว่างนี้ “ลุงฉิ่ง” ก็มีข่าวว่า อาจได้คัมแบ็ก กลับกระทรวงคลองหลอดอีกรอบ ในเก้าอี้ “รมช.มหาดไทย-มท.2” ก็ได้ หลังข่าวหลายกระแสมองว่ามีโอกาสสูง
อย่างไรก็ตาม เส้นทางเข้ามาเป็นรัฐมนตรีของ “ลุงฉิ่ง” ก็มีด่านสกัดพอสมควร เพราะยังไงพวกส.ส.-กลุ่มการเมืองในพปชร.ไม่ยอมแน่ หาก “บิ๊กตู่” จะปรับครม.แล้วตั้ง “ฉัตรชัย” มาเป็นรมต. ในโควต้าพปชร. โดยไม่ยอมตัดโควต้ากลางของพลเอกประยุทธ์ออกไป
เพราะทุกวันนี้ รัฐมนตรีในโควต้าพลเอกประยุทธ์ ก็มีหลายคนแล้ว โดยที่หลายกลุ่มในพปชร.ก็ยังไม่ได้โควต้ารัฐมนตรีมาสองปีกว่าแล้วเช่น กลุ่มภาคใต้-กลุ่มกำแพงเพชร-กลุ่มสมุทรปราการ ที่สำคัญกลุ่มธรรมนัส คงไม่ยอมง่ายๆ หากปรับครม.แล้ว ไม่มีการคืนโควต้าเก้าอี้รัฐมนตรีเดิมของ “ธรรมนัส” กลับคืนมาให้
ดังนั้น ถ้าพลเอกประยุทธ์ จะเอา “ฉัตรชัย” มาเป็นรัฐมนตรีจริง ก็อาจต้องปรับรมต.บางคนในโควต้ากลางของนายกฯออก ซึ่งคนที่มีสิทธิ์โดนปรับมากที่สุดคงไม่พ้น “ดอน ปรมัตถ์วินัย” รองนายกฯและ รมว.ต่างประเทศ แต่ปัญหาก็คือ จะเอาใครมาเป็นรมว.ต่างประเทศ โดยเฉพาะถ้าเอาคนจากโควต้าพรรคพลังประชารัฐ มาเสียบแทน เพราะเท่าที่เห็น แทบไม่มีใครเด่นเรื่องต่างประเทศ เลยสักคนเดียว
นอกจากนี้ “ฉัตรชัย” ถ้าจะเข้ามาเป็นรัฐมนตรีจริง โดยเฉพาะถ้าจะมาเป็น “มท.2” ก็อาจต้องเจอแรงต้านจากคนในพปชร.เองด้วย หาก “ลุงฉิ่ง” ไม่เคลียร์เรื่องการตั้งพรรคการเมืองใหม่ ว่าเอาจริงหรือไม่ และหากตั้งมาแล้วจะมาแข่งกับพลังประชารัฐหรือไม่
ซึ่งหากเคลียร์รันเวย์กันไม่ได้ แล้ว “ฉัตรชัย” มีชื่อเข้ามาเป็นรมต. ในโควต้าพปชร. รับรองว่า พวกส.ส.พปชร.ไม่ยอมง่ายๆ และเสี่ยงจะเป็นชนวนทำให้เกิดคลื่นใต้น้ำระลอกใหญ่ในพปชร.หลังเปิดสภาฯ 1 พ.ย.นี้แน่นอน
…………………………….
คอลัมน์ : ส่องป้อมค่ายการเมือง
โดย “พระจันทร์เสี้ยว”