วันศุกร์, พฤศจิกายน 22, 2024
spot_img
หน้าแรกCOLUMNISTS8 ธ.ค.ลุ้นเลือกตั้งซ่อมชุมพร-สงขลา “กรณ์”ดึง“สุชาติ”เสริมทัพลุยศึกใต้
- Advertisment -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

8 ธ.ค.ลุ้นเลือกตั้งซ่อมชุมพร-สงขลา “กรณ์”ดึง“สุชาติ”เสริมทัพลุยศึกใต้

“นิพนธ์ บุญญามณี” รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย รหัส “มท.2” คือ รัฐมนตรี-นักการเมืองคนล่าสุดโดยเฉพาะในซีกรัฐบาล ที่ต้องลุ้นคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญว่าจะทำให้เขาต้องหลุดจากเก้าอี้ รมช.มหาดไทยหรือไม่ ?

จากผลพวงที่ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย ต้องดำเนินการตามมติของคณะกรรมการป.ป.ช.ที่ชี้มูลความผิดคดีสมัยนิพนธ์เป็นนายกฯอบจ.สงขลา ที่ถูกสอบสวนเอาผิดกรณีไม่เบิกจ่ายเงินค่ารถอเนกประสงค์ 2 คัน มูลค่า 50 ล้านบาทให้แก่เอกชน ซึ่งเหตุเกิดเมื่อปี 2556

โดยคดีตอนนี้ที่เป็นคดีอาญาอยู่ระหว่างการพิจารณาร่วมกันของป.ป.ช.กับอัยการในการมีความเห็นว่าจะยื่นฟ้องเอาผิดนิพนธ์หรือไม่ ซึ่งระหว่างช่วงที่สำนวนคดีกำลังดำเนินไป ก็พบว่า พล.อ.อนุพงษ์ รมว.มหาดไทย ได้เคยมีคำสั่ง ให้ “นิพนธ์” พ้นตำแหน่ง “นายก อบจ.สงขลา” เมื่อช่วงมิ.ย.ปีนี้ แต่ “นิพนธ์” ไม่ยอมง่ายๆ เลยยื่นคำร้องไปยังศาลปกครองเพื่อเพิกถอนคำสั่งดังกล่าวของกระทรวงมหาดไทย ตั้งแต่วันที่ 23 ก.ค.ปีนี้เช่นกัน แต่ตอนนี้ยังไม่มีคำสั่งศาลปกครองออกมา

นิพนธ์ บุญญามณี

อย่างไรก็ตาม ทางส.ส.ฝ่ายค้าน นำโดยพรรคก้าวไกล ได้ร่วมกันเข้าชื่อส่งคำร้องผ่านไปยัง “ชวน หลีกภัย” ประธานสภาฯ เพื่อให้ส่งคำร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า สถานภาพการเป็นรัฐมนตรีของ “นิพนธ์” มีปัญหาตามรัฐธรรมนูญหรือไม่ จนเมื่อกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา ที่ประชุมตุลาการศาลรัฐธรรมนูญมีมติเอกฉันท์รับคำร้องนี้ไว้วินิจฉัย แต่ไม่ได้มีคำสั่งให้ “นิพนธ์” ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่แต่อย่างใด

กรณีของนิพนธ์ในชั้นศาลรัฐธรรมนูญ เท่ากับว่า ทำให้เขากลายเป็นนักการเมืองในซีกรัฐบาล คนที่ 7 ที่ต้องรอลุ้นสถานภาพทางการเมืองของตัวเอง กับคำตัดสินของศาลรธน.ที่จะออกมา ในเร็ววันนี้ ตามหลัง 6 คนแรก

ที่แยกเป็น 5 คนแรกอยู่ใน “คดี กปปส.” ที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง ยื่นเรื่องให้ศาลรธน.วินิจฉัย สมาชิกสภาพการเป็นส.ส.สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ ของ 5 อดีตแกนนำ กปปส.ที่ถูกศาลอาญามีคำตัดสินเมื่อ 24 ก.พ.ว่ามีความผิดคดี กปปส. ที่แกนนำแต่ละคนโดนศาลตัดสินให้มีความผิดแตกต่างกันไป แล้วศาลอาญาไม่ให้ประกันตัว จนถูกส่งตัวไปนอนที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพหนึ่งคืนก่อนได้รับการปล่อยตัว ที่ประกอบด้วย “ชุมพล จุลใส ส.ส.ชุมพร-พุทธิพงศ์ ปุณณกันต์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พลังประชารัฐ-อิสสระ สมชัย ส.ส.บัญชีรายชื่อ ประชาธิปัตย์-ถาวร เสนเนียม ส.ส.สงขลา ประชาธิปัตย์-ณัฏฐพล ทีปสุวรรณ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พลังประชารัฐ”

และต่อมา ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งรับคำร้องเฉพาะในส่วนที่ขอให้วินิจฉัยว่า สมาชิกภาพการเป็นส.ส.ของทั้ง 5 คนต้องสิ้นสุดลงพิจารณาวินิจฉัย และมีคำสั่งให้ทั้งห้าคน หยุดปฏิบัติหน้าที่ โดยหลังใช้เวลาไต่สวนนานหลายเดือน สุดท้าย ศาลรัฐธรรมนูญนัดอ่านคำวินิจฉัยวันที่ 8 ธ.ค. นี้

สิระ เจนจาคะ

ส่วนคนที่ 6 คือกรณีของ ส.ส.คนดัง “สิระ เจนจาคะ” ส.ส.กทม. พลังประชารัฐ ที่ประธานสภาผู้แทนราษฎร ส่งคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าสมาชิกภาพการเป็นส.ส.ของ “สิระ” สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญหรือไม่ หลังฝ่ายค้านยื่นคำร้องขอให้ศาลวินิจฉัยเพราะ “สิระ” เคยต้องคำพิพากษาของศาลแขวงปทุมวัน กรณีที่เคยต้องคำพิพากษาอันถึงที่สุดว่า กระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ที่กระทำโดยทุจริต ตามประมวลกฎหมายอาญา

โดยคำร้องคดีดังกล่าว ศาลนัดอ่านคำวินิจฉัยวันพุธที่ 22 ธ.ค.นี้

จาก 3 สำนวน 7 นักการเมืองฝ่ายรัฐบาล ถ้าดูเฉพาะกรณี หากผลคำวินิจฉัยของศาลรธน.ออกมาในทาง “ไม่เป็นคุณ” คือรัฐมนตรี-ส.ส.รัฐบาล ต้องหลุดจากตำแหน่งส.ส. ก็จะพบว่า มีส.ส.เขต ที่อยู่ใน 7 ชื่อดังกล่าว รวมแล้ว 3 คนคือ “ลูกหมี-ชุมพล” ที่ชุมพร – “ถาวร” ที่สงขลา และ “สิระ” ที่เขตหลักสี่ กทม. นั่นหมายถึง จะต้องมีการจัดเลือกตั้งซ่อมเกิดขึ้นนั่นเอง

หากมองไปที่ช่วงเวลาที่ใกล้ที่สุดที่จะรู้ผลก็คือ การตัดสินวันที่ 8 ธ.ค. ในคดี 5 แกนนำกปปส. ซึ่งมีส.ส.เขต ด้วยกัน 2 คนคือ “ถาวร-ชุมพล” ซึ่งถึงตอนนี้ หากดูจากผลคำตัดสินของศาลอาญา ที่ระบุโทษของทั้งสองคน จะพบว่ามีความแตกต่างกัน แต่กรณีของ “ลูกหมี-ชุมพล” เรียกได้ว่า เป็นแกนนำกปปส.ที่ถูกศาลตัดสินลงโทษหนักสุด คือ จำคุก 9 ปี 24 เดือน หนักกว่า “สุเทพ เทือกสุบรรณ” เสียอีก อีกทั้ง “ชุมพล” ยังถูกศาลอาญาพิพากษาให้เพิกถอนสิทธิ์ทางการเมือง 5 ปี ซึ่งในกลุ่มนี้มี “ชุมพล จุลใส-อิสระ สมชัย-ณัฏฐพล ทีปสุวรรณ-สุวิทย์ ทองประเสริฐ หรือ “พุทธะอิสระ”-แซมดิน เลิศบุศย์-สำราญ รอดเพชร-ทยา ทีปสุวรรณ”

ทำให้ การอ่านคำวินิจฉัยของศาลรธน.วันที่ 8 ธ.ค.นี้ ในส่วนของ “ชุมพล-อิสระ-ณัฏฐพล” เลยไม่ค่อยลุ้นเท่าไหร่ ที่ลุ้นอยู่ก็มีแค่ “ถาวร” กับ “บี-พุทธิพงษ์” เพราะทั้งสองคน ไม่ได้โดนเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง และคดียังไม่ถึงที่สุด เพียงแต่ที่มีปัญหาคือ เคยถูกคุมขังในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ เลยมีปัญหาว่าต้องหลุดจากส.ส.หรือไม่ แม้จะแค่คืนเดียวเท่านั้น

จึงต้องลุ้นกันวันที่ 8 ธ.ค.นี้ ซึ่งหากผลออกมา “ไม่เป็นคุณ” กับอดีตแกนนำกปปส.ทั้งหมด คือต้องพ้นจากสมาชิกภาพการเป็นส.ส. ทั้งหมด ก็จะทำให้มีการเลือกตั้งซ่อมที่ชุมพรและสงขลา ต่อไป

อย่างไรก็ตาม มีข่าวว่า หลายพรรคการเมือง แม้แต่กับพรรคร่วมรัฐบาลอย่าง “ประชาธิปัตย์” และ “พลังประชารัฐ” ประเมินผลทางคดีออกมาในทางว่า มีโอกาสจะหลุดจากส.ส. และทำให้ต้องมีการเลือกตั้งซ่อมเกิดขึ้น เพราะกรณีของ “ชุมพล” แตกต่างจากกรณีของ “ถาวร”

เลยไม่แปลกที่ จะเริ่มเห็นสัญญาณหลายพรรคการเมือง เริ่มลงพื้นที่ “ชุมพร” กันแต่เนิ่นๆ

ไม่ว่าจะเป็น “บิ๊กป้อม-พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ” รองนายกฯและหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ที่ลงพื้นที่เมื่อ 18 พ.ย.ที่ผ่านมา เพื่อติดตามสถานการณ์น้ำท่วมในพื้นที่และที่สร้างเสียงฮือฮาก็คือวันดังกล่าว “ลูกหมี- ชุมพล” ไปปรากฏตัวต้อนรับคอยติดตามขนาบข้างพล.อ.ประวิตรตลอดเวลา

สำหรับเลือกตั้งรอบที่แล้ว “พลังประชารัฐ” ส่ง “ชวลิต อาจหาญ” ลงสู้กับ “ลูกหมี” แต่แพ้ไปหนึ่งหมื่นคะแนน และหากมีการเลือกตั้งซ่อมจริง “พลังประชารัฐ” อาจส่งคนเดิม แต่สำหรับ “ชุมพล” อาจส่งเครือญาติตัวเองลงในนามประชาธิปัตย์ แต่ที่ถูกจับตาก็คือ มีกระแสข่าวว่า เลือกตั้งรอบหน้า ที่พรรคเล็กอย่าง “รวมพลังประชาชาติไทย” ของ “สุเทพ” น่าจะเข็นต่อลำบาก เลยมีข่าวว่า “สุพล จุลใส” หรือ “ลูกช้าง” ส.ส.เขต 3 พรรครวมพลังประชาชาติไทย “พี่ชายลูกหมี” อาจย้ายมาอยู่กับ “พลังประชารัฐ” ก็ได้ หลังเลือกตั้งรอบที่แล้ว “ลูกช้าง” ล้ม “ธีระชาติ ปางวิรุฬห์รักษ์” อดีตส.ส.ประชาธิปัตย์ไปแบบทิ้งห่างสองหมื่นกว่าคะแนน

ท่ามกลางข่าว บรรดาส.ส. ภาคใต้ พลังประชารัฐ 14 คน และแกนนำพรรคพลังประชารัฐ เริ่มคุยกันเรื่องการวางแผนเตรียมเลือกตั้งซ่อมที่ชุมพร กันแล้ว เพราะเชื่อว่า “ชุมพล” เสี่ยงสูง น่าจะรอดยาก แต่ที่สงขลา กรณีของ “ถาวร” ยัง 50-50 มีโอกาสพลิกได้อยู่  

ขณะที่พรรคอื่นๆ อย่าง “ภูมิใจไทย-ก้าวไกล” ที่ก็หวังขยายพื้นที่เข้ามายังชุมพร เช่นกัน ข่าวว่า ทาง “ประชาธิปัตย์” และ “พลังประชารัฐ” ประเมินว่า หากมีเลือกตั้งซ่อม สองพรรคดังกล่าว ยังไม่น่าจะพร้อมในการลงแข่งขัน

กรณ์ จาติกวณิช

แต่ที่ทั้ง “ประชาธิปัตย์” และ “พลังประชารัฐ” กำลังจับตา ก็คือ “พรรคกล้า” ของ “กรณ์ จาติกวณิช” อดีตรมว.คลัง อดีตรองหัวหน้าพรรคปชป. เพราะที่ผ่านมา หากติดตาม กิจกรรมความเคลื่อนไหวของ “พรรคกล้า” จะพบว่า “กรณ์และทีมงาน” มีการลงพื้นที่มาหาเสียงที่หลายเดือนแล้ว เพื่อหาตัวผู้สมัครส.ส.เขตและสร้างฐานเสียง อีกทั้งพบว่า “พรรคกล้า” ก็เชื่อว่า จะมีการเลือกตั้งซ่อมที่ชุมพร จึงมีการคัดเลือกตัวผู้สมัครและลงพื้นที่หาเสียงแต่เนิ่นๆ มาหลายเดือนแล้ว อย่างช่วงสุดสัปดาห์นี้ 26-28 พ.ย. ก็มีข่าวว่า แกนนำพรรคกล้าจะลงพื้นที่ชุมพรเช่นกัน

คนที่พรรคกล้าเตรียมไว้สำหรับลงสมัครรับเลือกตั้งซ่อมที่ชุมพร ก็คือ “พ.ต.อ.ทศพล โชติคุตร์” หรือ “ผู้กำกับหนุ่ย” อดีตผู้กำกับการฝ่ายอำนวยการ กองบังคับการตำรวจนครบาล 7 ที่เป็นอดีตนายตำรวจติดตาม “กรณ์” สมัยเป็นรมว.คลังนั่นเอง โดยพบว่า “พ.ต.อ.ทศพล” มีการลงพื้นที่หาเสียง แนะนำตัวเองที่ชุมพร มาร่วม 4-5 เดือนแล้ว

ทำให้ฝ่าย “พลังประชารัฐ” และ “ประชาธิปัตย์” กำลังคิดหนักเหมือนกันว่า หากมีการเลือกตั้งซ่อมที่ชุมพร เกิดขึ้น แล้วต้องเป็นการแข่งกันเองของสองพรรครัฐบาลอีกครั้ง แบบที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วตอนเลือกตั้งซ่อมที่นครศรีธรรมราช เมื่อต้นปีที่ผ่านมา สิ่งที่จะเกิดขึ้นก็คือ คนของพรรคกล้า จะมาตัดคะแนนคนของตัวเอง จนส่งผลแพ้-ชนะได้

อย่างไรก็ตาม พบว่า “พรรคกล้า” ไม่ได้คิดแค่จะส่งคนมาชิมลางหรือตัดคะแนนใคร แต่ “เล่นใหญ่” ถึงขั้นหวังเอาชนะให้ได้ หากมีเลือกตั้งซ่อมที่ชุมพร

พ.อ.สุชาติ จันทรโชติกุล

ยิ่งล่าสุด ได้ตัว ผู้การสุชาติ-พ.อ.สุชาติ จันทรโชติกุล” อดีตประธานยุทธศาสตร์ภาคใต้ พลังประชารัฐ เพื่อนนักเรียนเตรียมทหารรุ่นที่ 12 ของ “พล.อ.ประยุทธ์” ที่ลาออกจากสมาชิก พปชร. เพื่อมาอยู่กับพรรคกล้า หลังการตั้งพรรคของ “ฉัตรชัย พรหมเลิศ” อดีตปลัดมหาดไทยฯ ที่พ.อ.สุชาติจะไปอยู่ด้วย สุดท้ายไม่เกิดขึ้นจริง ทำให้พ.อ.สุชาติเลยเบนเข็มมาอยู่กับพรรคกล้าแทน 

จุดนี้ คงทำให้ “กรณ์-พรรคกล้า” ดูจะมั่นใจมากขึ้น ในการเดินหน้าปักธง ทำพื้นที่-สร้างคะแนนนิยมในภาคใต้ โดยมีสนามเลือกตั้งซ่อม เป็นพื้นที่ชิมลาง โดยเฉพาะที่ชุมพร เพื่อทดสอบกระแสนิยมของ “พรรคกล้า” และฝีมือของ “พ.อ.สุชาติ” ว่าจะเข้ามาเป็นแม่ทัพใหญ่ในภาคใต้ให้กับ “พรรคกล้า” ได้หรือไม่

หากสุดท้าย ผลคำตัดสินของศาลรธน.วันที่ 8 ธ.ค.นี้ ออกมาไม่เป็นคุณกับส.ส.ประชาธิปัตย์-พลังประชารัฐ จนทำให้มีการเลือกตั้งซ่อมเกิดขึ้นในภาคใต้ ย่อมทำให้จะเป็นสนามเลือกตั้งซ่อม ที่สนุกเข้มข้นอีกครั้งหนึ่ง

ที่สำคัญอาจกลายเป็นชนวนทำให้ “พลังประชารัฐ-ประชาธิปัตย์” อาจบาดหมางใจกันอีกครั้ง ถ้า “พลังประชารัฐ” ไม่ยอมถอยให้ “ประชาธิปัตย์” เหมือนกับที่ทำมาแล้วที่นครศรีธรรมราช ……………..

คอลัมน์ : ส่องป้อมค่ายการเมือง

โดย…..“พระจันทร์เสี้ยว”

- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_imgspot_img

Featured

- Advertisment -spot_img
Advertismentspot_imgspot_img
spot_imgspot_img