ถึงตอนนี้ สถานการณ์ส.ส.กลุ่มธรรมนัส พรหมเผ่า 21 เสียง ออกจากพลังประชารัฐ (พปชร.) ไปอยู่บ้านหลังใหม่ที่ชื่อ “พรรคเศรษฐกิจไทย”
ภายใต้ความเคลื่อนไหวการต่อรอง ให้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นำกลุ่มธรรมนัสและพรรคเศรษฐกิจไทยเข้าร่วมรัฐบาลและให้โควต้ารัฐมนตรีกลุ่มธรรมนัส 2 เก้าอี้ ที่ว่างอยู่ตอนนี้ หลังพล.อ.ประยุทธ์ปลด “ธรรมนัส พรหมเผ่า” และ “นฤมล ภิญโญสินวัฒน์” ออกจากครม.มาได้ร่วมเกือบสี่เดือน ไม่เช่นนั้นเสียงส.ส.รัฐบาลจะหายไปจากฝ่ายรัฐบาล 21 เสียง ผสมกับส.ส.พรรคเล็กที่พร้อมจะร่วมหัวจมท้ายกับธรรมนัส อย่างน้อยๆ ประมาณ 6-7 เสียง รวมกันแล้วไม่ต่ำกว่า 30 เสียง ที่พร้อมจะ…
“ขย่ม-เขย่า” เสถียรภาพรัฐบาลให้สั่นคลอน!!!
โดยเฉพาะในช่วง “ศึกซักฟอก-อภิปรายไม่ไว้วางใจ” ในสมัยประชุมสภาฯรอบหน้าช่วงพ.ค.-ก.ย.2565
ถึงตอนนี้ สถานการณ์ชักไม่นิ่งเสียแล้ว เพราะพบว่า มีสถานการณ์แทรกซ้อนเข้ามาต่อเนื่อง ที่ดูจะไม่เป็นผลดีกับ “กลุ่มธรรมนัส” เสียเท่าไหร่
ไม่ว่าจะเป็นกรณีเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ศาลฎีกามีคำสั่งให้ “วัฒนา สิทธิวัง” ส.ส. ลำปาง พลังประชารัฐเดิม จากกลุ่มธรรมนัส ที่อยู่ในกลุ่ม 21 ส.ส. ที่โดนขับออกจากพรรค หยุดพักการปฏิบัติหน้าที่ตั้งแต่สัปดาห์ที่ผ่านมา หลังศาลฎีการับคำร้องคดีที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ร้องขอให้ศาลสั่งให้มีการเลือกตั้งใหม่ที่ลำปาง กรณีถูกไต่สวนว่ามีการทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง ทำให้ “กลุ่มธรรมนัส” ก็จะเหลือเสียงส.ส.ที่อยู่ในสภาฯ 20 คน
เท่านั้นไม่พอ เมื่อช่วงเย็นวันศุกร์ที่ผ่านมา หลังปิดประชุมสภาฯ “สมศักดิ์ พันธ์เกษม” ส.ส.นครราชสีมา ซึ่งมีชื่อเป็น 1 ใน 21 ส.ส.ที่ให้ออกจากสมาชิกพรรคพลังประชารัฐ ได้ทำหนังสือถึง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรค เรื่อง “ขอให้ทบทวนมติพรรคพลังประชารัฐ ให้สมาชิกออกจากการเป็นสมาชิกพรรค”
โดยเป็นหนังสือที่มีเนื้อหาโดยสรุปคือ “สมศักดิ์” แย้งว่า มติที่ประชุมกรรมการบริหารพรรคและที่ประชุมสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรคพลังประชารัฐ มีมติที่อ้างถึงเมื่อวันที่ 19 ม.ค.2565 ให้สมาชิกพรรคพลังประชารัฐจำนวน 21 คน ออกจากการเป็นสมาชิกพรรคตามข้อบังคับพรรคพลังประชารัฐ โดยมีชื่อ “สมศักดิ์” อยู่ในรายชื่อสมาชิกพรรค 21 คนด้วยนั้น
“เป็นมติพรรคที่ไม่เป็นธรรมกับข้าพเจ้า เพราะข้าพเจ้าไม่เคยทราบมาก่อนเลยว่า มีการกล่าวอ้างว่าข้าพเจ้าเกี่ยวข้อง หรือมีส่วนร่วมกับการกระทำของ ร.อ.ธรรมนัสฯ กับพวก อีกทั้ง กรรมการบริหารพรรคมิได้สอบสวนหาข้อเท็จจริง และมิได้เปิดโอกาสให้ข้าพเจ้าได้ชี้แจงข้อเท็จจริงที่ถูกต้อง ก่อนการพิจารณาลงมติ ข้าพเจ้าจึงไม่ได้รับการความเป็นธรรม และไม่ได้รับการพิจารณาที่ถูกต้องตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ กฎหมาย และข้อบังคับพรรคพลังประชารัฐ”
และย้ำอีกว่า “นอกจากข้าพเจ้าแล้ว ก็ยังมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร รายอื่นของพรรคที่มีชื่อรวมอยู่ในจำนวนรายชื่อ 21 คนนั้น ที่ไม่ทราบเรื่องและไม่รู้เห็นเกี่ยวข้องกับการดำเนินการดังกล่าวของ ร.อ.ธรรมนัสฯ กับพวก เช่นเดียว กับข้าพเจ้า”
ในหนังสือดังกล่าว ยังได้บรรยายรายละเอียดทั้งหมดของการประชุมที่มูลนิธิป่ารอยต่อฯ เมื่อช่วงเย็นวันที่ 19 ม.ค. อย่างละเอียดยิบ ในลักษณะชี้ว่ามติดังกล่าวที่ให้ขับ ส.ส.กลุ่มธรรมนัสออกจากพรรค ดำเนินการโดยไม่ชอบ
การออกมาเปิดเผยเบื้องหน้า-เบื้องหลัง มติขับกลุ่มธรรมนัสดังกล่าว ของ “สมศักดิ์” หรือ “เฮียเบี้ยว” ส.ส.โคราช รุ่นใหญ่ ที่อยู่มาตั้งแต่ยุคพรรคชาติพัฒนา สมัยพล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ ครั้งนี้ ถูกตั้งข้อสังเกตและวิเคราะห์เบื้องหน้า-เบื้องหลังตามมาทันที
คือก่อนหน้านี้ กระแสการเมืองทุกสาย มองตรงกันว่า มติไล่กลุ่มธรรมนัสออกจากพปชร. เป็นเรื่องของการ “เตี้ยมกันทางการเมือง”
ระหว่าง “พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ” และ “ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า” และกลุ่มการเมืองต่างๆ ในพปชร.
เพื่อเคลียร์ทางบางอย่างใน “พปชร.” และในรัฐบาลให้โล่งมากขึ้น โดยเฉพาะจะได้เป็นการปลดล็อคปัญหาภายในรัฐบาลและใน “พปชร.” โดยให้ “กลุ่มธรรมนัส” แยกวงไปอยู่พรรคเศรษฐกิจไทย ที่เป็นพรรคสำรองที่กลุ่มป่ารอยต่อฯ ตั้งไว้นานแล้ว หลังพล.อ.ประยุทธ์ ยังไม่ยอมปรับครม. คืนโควต้ารัฐมนตรีให้ “กลุ่มธรรมนัส” 2 เก้าอี้
เพราะพล.อ.ประยุทธ์ ก็ไม่อยาก “เสียหน้า-เสียรังวัด” หากปรับครม.แล้ว นำ “คนในกลุ่มธรรมนัส” เข้ามาเป็นรัฐมนตรี
ผนวกกับ “บิ๊กป้อม” และ “ธรรมนัส” และกลุ่มต่างๆ ในพปชร.เห็นแล้วว่า หากเคลื่อน พปชร.ไปในลักษณะแบบก่อนหน้านี้ มันก็ติดล็อคกันหมด ขยับไม่ได้ เช่น หากมีการเลือกตั้งเกิดขึ้น “ธรรมนัส” ยังเป็นเลขาธิการพรรค แล้วตัว “ธรรมนัส” มีปัญหากับ “พล.อ.ประยุทธ์” เคลียร์กันไม่ได้
การจะชู “พล.อ.ประยุทธ์” เป็นแคนดิเดตนายกฯ มันก็ทำไม่ได้เต็มที่ ต่างฝ่ายต่างติดขัดกันไปหมด สู้ใช้วิธี ให้ “ธรรมนัส” แยกวงไปอยู่พรรคสาขา แล้วเคลื่อนไปพร้อมๆ กับพปชร. ในสนามเลือกตั้งและตอนจัดตั้งรัฐบาลหลังเลือกตั้ง มันก็น่าจะเป็นทางออกที่ดีกว่า
ยิ่งเมื่อเกิดกรณี “พปชร.” แพ้เลือกตั้งซ่อมที่สงขลา-ชุมพร ผสมกับแชทไลน์หลุดของ “สุชาติ ชมกลิ่น” รมว.แรงงาน ที่มีปัญหากับ “ธรรมนัส” อยู่แล้ว เลยยิ่งทำให้คนมองว่า คนในพปชร.ไม่ยอมรับ “ธรรมนัส” และตอนนี้ผ่านไปจะ 4 เดือนแล้ว นายกฯยังไม่ยอมปรับครม.เสียที ปล่อยให้เวลาผ่านไปเรื่อยๆ ทั้งที่มี “คนรอ” อยากเป็นรัฐมนตรีจำนวนมาก
ทุกอย่างมันลงล็อคกันไปหมด เลยเป็นที่มาของจังหวะที่ลงตัว ในการผ่องถ่าย “กลุ่มธรรมนัส” ออกไปอยู่พรรคเศรษฐกิจไทยได้แบบเนียนๆ
จึงไม่แปลกที่คนการเมือง จะเห็นตรงกันว่า การขับกลุ่มธรรมนัส ออกจากพปชร. ถูก “เซ็ตการเมือง” ขึ้นมาแบบเหมาะเจาะกันไปหมด
ทำให้จากที่คนเคยคิดกันว่า “บิ๊กป้อม” กับ “พปชร.” แตกหักกับ “กลุ่มธรรมนัส” ดูๆไป ทำท่าจะไม่ใช่เช่นนั้นแล้ว มันน่าจะมีการจัดฉาก เตรียมการทุกอย่างไว้ก่อนล่วงหน้าหมดแล้ว
เพียงแต่มันมีการ “ผิดคิว” กันเกิดขึ้นกันเองภายใน “พปชร.” โดยเฉพาะชื่อ 21 ส.ส. ที่อ้างว่าคือคนของกลุ่มธรรมนัส แต่ตอนนี้ เริ่มเห็นเค้าลางแล้วว่า มีการอ้างชื่อ ใส่ชื่อกันเข้าไป เพื่อหวังให้ดูแล้วกลุ่มธรรมนัส มีกำลังในมือพอสมควร จนออกไปอยู่กับพรรคเศรษฐกิจไทยได้ และควรที่ “บิ๊กตู่” จะนำพรรคเศรษฐกิจไทยเข้าร่วมรัฐบาล และให้โควต้ารัฐมนตรีกับ “กลุ่มธรรมนัส-พรรคเศรษฐกิจไทย” อย่างน้อย 2 เก้าอี้ ตามที่้ต้องการ โดยเฉพาะรมว.ว่าการฯ ที่กลุ่มธรรมนัสต้องการ คือ รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.)
ซึ่งการผิดคิวดังกล่าว ก็คือการออกมาโวยวาย ตีแผ่ ข้อเท็จจริงถึงเบื้องหน้า-เบื้องหลัง มติขับ 21 ส.ส.พปชร.ดังกล่าว ของ “สมศักดิ์” ส.ส.โคราช ที่ไม่ยอมออกจาก “พปชร.” ง่ายๆ
เรื่องที่เกิดขึ้นดังกล่าว คงไม่จบลงง่ายๆ เผลอๆ ทำท่าจะบานปลาย กลายเป็นเรื่องใหญ่ ถึงขั้น สบช่องให้บางคน หยิบยกไปเป็นประเด็นร้องให้ “ยุบพรรคพลังประชารัฐ” ยังได้ ถ้าไม่มีมวยล้มจาก “สมศักดิ์ พันธ์เกษม” เสียก่อน
เรื่องนี้ มองดูแล้ว หากบานปลาย จะไม่เป็นผลดีต่อ “กลุ่มป่ารอยต่อฯ” ทั้ง พล.อ.ประวิตร-พล.อ.วิชญ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา ว่าที่หัวหน้าพรรคเศรษฐกิจไทย-พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ น้องชายบิ๊กป้อมที่จะมาเป็นที่ปรึกษาพรรคเศรษฐกิจไทย-อภิชัย เตชะอุบล ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ ประชาธิปัตย์ ที่จะเข้ามาเป็นเลขาธิการพรรคเศรษฐกิจไทย และกลุ่มธรรมนัส ที่วางแผนออกมติดังกล่าวออกมาแบบแยบยล เพื่อนำไปสู่การทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ ปรับครม. โดยคืนโควต้าให้กลุ่มธรรมนัส และแผนขยายสาขาพปชร.ออกไปภายใต้แบนด์ เศรษฐกิจไทย
ที่แน่ๆ ไม่ต้องมองไปไกลถึงเรื่อง การเสาะแสวงหาข้อเท็จจริงมติขับกลุ่มธรรมนัส-การตีความปัญหาข้อกฎหมายว่ามติดังกล่าว ทำโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ และเรื่องนี้จะขยายผลจนนำไปสู่การ “ยุบพรรค พปชร.” และการเอาผิดกรรมการบริหารพรรคหรือไม่???
เอาแค่เรื่องเฉพาะหน้า การที่ “วัฒนา สิทธิวัง” ส.ส. ลำปาง กลุ่มธรรมนัส โดนพักให้หยุดปฏิบัติหน้าที่การเป็นส.ส. และกรณี “สมศักดิ์ พันธ์เกษม” ออกมาแฉโพยมติขับกลุ่มธรรมนัสไม่ชอบ โดยปฏิเสธว่าไม่ได้อยู่ในกลุ่มธรรมนัส
แบบนี้ เท่ากับ “กลุ่มธรรมนัส” หายไปแล้ว 2 เสียง
ดังนั้น หากดูตัวเลข ส.ส.ฝ่ายรัฐบาล ไม่นับรวมกลุ่มธรรมนัสเดิม 21 เสียง และส.ส.พรรคเล็กที่จะอยู่กับธรรมนัส ประมาณ เต็มที่คือ 6-8 เสียง ที่เช็คยอดกันหลายตลบ บวกลบทุกสูตรแล้ว โดยเฉพาะกรณีเอาแบบสุดๆ ไปเลย คือกลุ่มธรรมนัสทั้งหมด รวมกับพรรคเล็ก ย้ายขั้วไปฝ่ายค้าน เตรียมล้มพลเอกประยุทธ์ตอนศึกซักฟอกกลางปีนี้ ถ้ากลุ่มธรรมนัส ไม่ได้เก้าอี้รัฐมนตรีผ่านพรรคเศรษฐกิจไทย
เสียงส.ส.รัฐบาล ให้กดตัวเลขแบบต่ำสุดแล้ว ยังไงก็เกินฝ่ายค้านประมาณ 9-11 เสียง
ยิ่งตอนนี้ 21 เสียงของ “ธรรมนัส” ก็เริ่มแกว่งแล้ว ตอนนี้หากนับกรณีของ “วัฒนา สิทธิวัง” กับ “สมศักดิ์ พันธ์เกษม” ก็เท่ากับเหลือ 19 เสียง มันก็เข้าทางพล.อ.ประยุทธ์มากขึ้นไปอีก อันนี้ ยังไม่นับรวมกับตัวแปรอื่นๆ เช่น การดึงส.ส.ฝ่ายค้านมาอยู่กับพรรครัฐบาล เช่น ภูมิใจไทยเพื่อเป็นงูเห่าฝ่ายค้าน ที่ก็ยังน่าจะมีทางเกิดขึ้นได้อีก
สถานการณ์ตอนนี้ เลยเริ่มกลับมาพลิกเข้าทาง “พล.อ.ประยุทธ์” ให้พอประคองอายุรัฐบาลให้อึดไปได้อีกสักระยะ
โดยเฉพาะถ้ากรณี มติขับกลุ่มธรรมนัส ยืดเยื้อบานปลาย จนแผนจะใช้พรรคเศรษฐกิจไทย ต่อรองพล.อ.ประยุทธ์ ปรับครม.ให้เก้าอี้รัฐมนตรีให้กับกลุ่มธรรมนัส สะดุดลง จน “บิ๊กป้อม-ธรรมนัส” ต้องเปลี่ยนเกม-ตั้งหลักกันใหม่หมด
หากทุกอย่างเป็นไปแบบนี้ สถานการณ์จะเริ่มเปลี่ยนมาเข้าทางพล.อ.ประยุทธ์ ให้เวลามากขึ้น ในการเข็นรัฐบาลไปจนถึงปลายปีนี้ แล้วค่อยยุบสภาฯ ไม่ใช่เตรียมยุบสภาฯกลางปีนี้ อย่างที่คนมองกันก่อนหน้านี้
……………………………………..
คอลัมน์ : ส่องป้อมค่ายการเมือง
โดย…“พระจันทร์เสี้ยว”