แม้วันนี้ต้องหลุดจากส.ส.ราชบุรี และโดนตัดสิทธิ์เลือกตั้งทั้งระดับชาติและท้องถิ่นสิบปี รวมถึงไม่สามารถดำรงตำแหน่งการเมืองใดๆ ได้ตลอดชีวิต แต่วิบากรรมในชีวิตของ “เอ๋-ปารีณา ไกรคุปต์” ยังไม่หมดแค่นี้
เพราะนับจากนี้ เธอยังต้องเจออะไรอีกเยอะ โดยเฉพาะเรื่อง “คดีอาญา” ที่มีเดิมพันชีวิตสูง กับคดีที่ถูกตำรวจกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (บก.ปทส.) ดำเนินคดี 4 กระทงความผิดตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ในข้อหาบุกรุกที่ดินของรัฐ ซึ่งกรมป่าไม้ได้เข้าแจ้งความต่อตำรวจตั้งแต่ปลายปี 2562 จากนั้น ตำรวจ บก.ปทส.ได้มีความเห็นสั่งฟ้อง “ปารีณา” และยื่นสำนวนส่งให้อัยการภาค 7 ซึ่งโทษสูงสุดในคดีนี้คือ จำคุก 20 ปี และปรับ 2 ล้านบาท
จนต่อมาเมื่อ 19 มีนาคม 2564 “ปารีณา” ได้เข้าพบอัยการเพื่อรับทราบข้อกล่าวหาและ “สู้ยิบตา” โดยมีการยื่นหนังสือร้องขอความเป็นธรรม เพื่อขอให้มีการสอบสวนเพิ่มเติม ทำให้อัยการมีการสั่งให้สอบเพิ่มเติม
ถึงตอนนี้ ไคลแมกซ์คดีอาญาสำหรับ “ปารีณา” ก็มาถึง เพราะอัยการได้นัดฟังคำสั่งคดีว่า จะมีความเห็นทางคดีสั่งฟ้องหรือสั่งไม่ฟ้อง “ปารีณา” เป็นจำเลยในคดีอาญา หรือจะให้สอบเพิ่มเติมอะไรอีกหรือไม่ วันที่ 20 เม.ย.ที่จะถึงนี้แล้ว
หากอัยการมีความเห็นสั่งฟ้อง ชีวิต “ปารีณา” ก็เหมือนโดนไม้หน้าสาม ฟาดหน้าหนักๆ เข้าอีกรอบ
เพราะที่ถูกศาลฎีกามีคำตัดสินว่า ฝ่าฝืนจริยธรรมฯ แม้จะเป็นการปิดฉากชีวิตการเมือง แต่หากแพ้คดีอาญา ขึ้นมา งานนี้อาจถึงขั้นเสี่ยงคุกเสี่ยงตะรางกันเลยทีเดียว !!!
เพราะ 4 ข้อหาที่ “ปารีณา” โดนสั่งฟ้อง เอาผิดตามพ.ร.บ.ป่าสงวนแห่งชาติฯ-ความผิดตามพ.ร.บ.ป่าไม้-ความผิดตามประมวลกฎหมายที่ดิน-ความผิดตามพ.ร.บ.น้ำบาดาลฯ เรียกได้ว่าหนักหน่วงทั้งสิ้น โดยพบว่า “คดีปารีณา” มีอัตราโทษสูงสุดจำคุก 4-20 ปี ปรับ 200,000-2,000,000 บาท
เอาเป็นว่า “เอฟซี แฟนคลับ เอ๋-ปารีณา” ที่มีอยู่จำนวนมาก โดยเฉพาะกลุ่ม “เชียร์ลุงตู่-รักลุงป้อม” ทั้งพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ที่เชื่อมั่นว่าเธอบริสุทธิ์ ไม่ได้รุกป่าสงวนฯ เอฟซีทั้งหลาย ต้องลุ้นเอาใจช่วย ให้เธอผ่าน “มรสุมชีวิต” ลูกนี้…ไปให้ได้
อย่างไรก็ตาม หลัง “ศาลฎีกา” วางไม้บรรทัด-สร้างบรรทัดฐานทางคดีความ ผ่าน “คำตัดสินของศาลฎีกา” ในคดีปารีณา ไกรคุปต์ ที่ตัดสินโดยอิงเรื่องของ “มาตรฐานจริยธรรมของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระฯ ที่ให้ใช้บังคับกับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภารวมถึงคณะรัฐมนตรี” ด้วย
ย่อมทำให้หลังจากนี้ นักการเมืองทั้งหลาย คงพึงสำนึกมากขึ้นในการประพฤติตน-ดำรงตน-การใช้อำนาจหน้าที่
เพราะหากถูกร้องเรียนว่า มีพฤติการณ์ว่าฝ่าฝืนจริยธรรมฯ เช่น ถูกร้องว่าไม่ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความสุจริต-มีพฤติการณ์แสวงหาผลประโยชน์โดยมิชอบ-มีพฤติการณ์ที่รู้เห็นหรือยินยอมให้ผู้อื่นใช้ตำแหน่งหน้าที่ของตนแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบ-มีพฤติการณ์ส่อไปในทาง เรียก รับ หรือยอมรับทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใด จนถูกคณะกรรมการป.ป.ช.ไต่สวนและชี้มูลความผิด และส่งคำร้องให้ศาลฎีกาฯตัดสิน มันก็สุ่มเสี่ยง ที่ชีวิตการเมืองจะปิดฉากในเวลาอันรวดเร็วได้ หากพยานหลักฐานจากฝ่ายป.ป.ช.ชัดเจน
ดังนั้นเมื่อคำตัดสินของศาลฎีกา ในคดีปารีณาออกมาแบบนี้ ปฏิเสธไม่ได้ว่า หลังจากนี้…ย่อมทำให้นักการเมืองทั้ง “ส.ส.-ส.ว.-รัฐมนตรี” จะระมัดระวังตัวมากขึ้นแน่นอน
แต่นักการเมืองที่มีคดีความถูกป.ป.ช.ยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาให้เอาผิดกรณีฝ่าฝืนจริยธรรมฯ ที่มีคดีความอยู่ในเวลานี้ คงทำอะไรไม่ได้มากไปกว่า การสู้คดีอย่างเต็มที่ เพื่อไม่ให้ตัวเอง มีชะตากรรมแบบเดียวกับ “ปารีณา”
ซึ่งตอนนี้ ก็มีด้วยกัน 4 คน เป็น ส.ส. 3 คน ส่วน อีกคนโดนตัดสิทธิ์การเมืองไปแล้ว ซึ่งทั้งหมดล้วนโดนป.ป.ช.ชี้มูลความผิดกรณี “เสียบบัตรแทนกัน”
ที่เกิดขึ้นในช่วงแรกๆ ของรัฐบาลชุดปัจจุบันที่เป็นรัฐบาลเสียงปริ่มน้ำ ซึ่งตอนนั้น ส.ส.รัฐบาลเวลามีกิจธุระ ก็มักไม่ค่อยแจ้งหรือลาประชุมสภาฯ เพราะวิปรัฐบาลและวิปของพรรค จะเข้มงวดไม่อยากให้มีการลา เพราะเกรงเสียงส.ส.ในสภาฯจะมีปัญหา เลยทำให้ช่วงนั้น ส.ส.รัฐบาลถูกจับตามองกันมากจากฝ่ายค้าน รวมถึงฝ่ายรัฐบาลด้วยกันเอง แต่เป็นพรรคคู่แข่งขันว่า “ตัวหาย-แต่ชื่อโผล่” ตอนโหวตออกเสียงในห้องประชุมสภาฯ
จนสุดท้าย ก็มาโป๊ะแตก กับกรณีเสียบบัตรแทนกันของส.ส.รัฐบาล กับกรณีของ “ส.ส.พรรคภูมิใจไทย” ที่โดนร้องเอาผิดกรณีเสียบบัตรแทนกัน ช่วงสภาฯโหวตร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯปี 2564 ที่คนเปิดประเด็นและคนร้องต่อป.ป.ช. ก็คือ “นิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ” อดีตส.ส.พัทลุงและอดีตรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ที่เอาคืนส.ส.พัทลุง พรรคภูมิใจไทย คู่แค้นทางการเมือง ที่ทำให้ตัวเองสอบตก ด้วยการออกมาแฉเรื่องส.ส.ภูมิใจไทย เสียบบัตรแทนกัน และสุดท้ายมีการร้องไปที่ป.ป.ช.และป.ป.ช.ก็ชี้มูลความผิดส่งไปศาลฎีกา และศาลฎีกาณก็รับคำร้องไว้พิจารณาอยู่ตอนนี้
อันประกอบไปด้วย “ฉลอง เทอดวีระพงศ์” ส.ส.พัทลุง และ “ภูมิศิษฏ์ คงมี” ส.ส.พัทลุง ที่ปัจจุบันยังเป็นส.ส.อยู่ แต่หลังศาลฎีการับคำร้อง ก็สั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ และยังมีอีกหนึ่งชื่อคือ “นางนาที รัชกิจประการ” อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ แต่ “นางนาที” โดนตัดสิทธิ์การเมืองเป็นเวลาห้าปีในเวลาต่อมา ในคดีจงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินอันเป็นเท็จ รวมถึงยังมีอีกหนึ่งคนคือ “น.ส.ธณิกานต์ พรพงษาโรจน์” ส.ส.กทม.พรรคพลังประชารัฐ ที่ถูกฝ่ายค้านคือพรรคก้าวไกล ร้องกรณีเสียบบัตรแทนกันเช่นกัน
แม้พฤติการณ์ ข้อร้องเรียน กรณีเสียบบัตรแทนกัน บางคนอาจมองทำนองว่า เบากว่าเรื่องข้อกล่าวหาบุกรุกที่ป่าสงวนแห่งชาติ ทำฟาร์มไก่ 711 ไร่ของปารีณา หลายเท่า และคำตัดสินที่จะออกมา อาจไม่หนักเท่ากับเคสคดีปารีณา
ทว่าของแบบนี้ ต้องรอลุ้น รอติดตาม เพราะเรื่องของ “มาตรฐานจริยธรรมฯ” ที่เป็นเรื่องการตีความ-ไต่สวนคดีในทางกว้าง ไม่เหมือนกับคดีอาญา-คดีทุจริตทั่วไป
ดังนั้น ต่อให้หากนักการเมืองจะรุกป่าสงวนฯ หรือจะโดดประชุมสภาฯ แล้วฝากคนอื่นให้เสียบบัตรแทนกันในห้องประชุมอันทรงเกียรติ หากสุดท้าย ถ้าหลักฐานในการพิจารณาคดีในชั้นศาลฎีกา มันชัดว่า “ส.ส.ผู้ทรงเกียรติ” ที่ประชาชนเลือกให้เข้ามาทำหน้าที่ในสภาฯ “กระทำผิดจริง” มีการร้องขอให้เสียบบัตรแทนกันจริง
มันก็คือการที่ส.ส.ไม่ตระหนักถึงหน้าที่ของตัวเอง และทำให้ฝ่ายนิติบัญญัติ โดยเฉพาะการออกกฎหมาย ได้รับความเสื่อมเสีย
ผลแห่งคดี คำตัดสินที่จะออกมา ไม่แน่ มันก็อาจโคม่าพอกันก็ได้ ใครจะไปรู้…แบบนี้ คงได้หนาวกลางฤดูร้อนแน่ๆ !!!
………………………………
คอลัมน์ : ส่องป้อมค่ายการเมือง
โดย “พระจันทร์เสี้ยว”