ไม่เหนือความคาดหมาย ที่ผลการประชุมใหญ่สามัญพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) เมื่อวันเสาร์ที่ 23 เม.ย.ที่ผ่านมา สุดท้ายแล้ว “จุรินทร์ ลักษณวิศิษฐ์” ก็ไม่ได้ประกาศลาออกจากหัวหน้าพรรคปชป. รวมถึงก็ไม่ได้มีกรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ “ตบเท้าลาออก” เพื่อทำให้กรรมการบริหารพรรคพ้นสภาพ ตามข้อบังคับพรรคแต่อย่างใด หลังเกิดกรณี “ปริญญ์เอฟเฟกต์” ขึ้นภายในพรรคปชป. ที่ยังไม่จบง่ายๆ
แม้ในที่ประชุมดังกล่าว “สาทิตย์ วงศ์หนองเตย” ส.ส.ตรัง พรรคประชาธิปัตย์ อภิปรายตอนหนึ่งว่า “ขณะนี้มีเรื่องของอดีตรองหัวหน้าพรรค ที่กำลังเป็นข่าวฉาวโฉ่ แม้หัวหน้าพรรคจะออกมาขอโทษสังคม แต่ในฐานะที่เป็นคนผลักดันให้บุคคลดังกล่าวก้าวขึ้นมาเป็นผู้บริหารพรรค แต่สังคมก็ยังไม่จบ สังคมเรียกร้องขอให้หัวหน้าพรรคแสดงความรับผิดชอบ เนื่องจากพรรคใช้สโลแกน พรรคเลือกคน ประชาชนเลือกพรรค ถ้าคนของพรรคมีปัญหาพรรคก็ต้องรับผิดชอบ หัวหน้าพรรคในฐานะที่ผลักดันบุคคลนี้เข้ามา และมีปัญหาในเรื่องจริยธรรม แม้จะแถลงขอโทษ แต่หัวหน้าพรรคก็ไม่ได้แสดงความรับผิดชอบเท่าที่ควร รู้ว่าตำแหน่งนี้ได้มายาก แต่ตำแหน่งไม่ได้มีความสำคัญเท่ากับเกียรติภูมิและอุดมคติ กับจุดยืนทางจริยธรรมของพรรค”
แต่สุดท้าย ก็ไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้น ที่สาเหตุหลักก็เพราะว่า กรรมการบริหารพรรค-ส.ส.ของปชป.ส่วนใหญ่ ยังคงเลือกที่จะสนับสนุน “จุรินทร์” ให้ทำหน้าที่หัวหน้าพรรคต่อไป และส่วนใหญ่คงมองว่า ยังไม่ควรเปลี่ยนตัว “หัวหน้าพรรคปชป.” กลางคันเช่นนี้ เพราะยังทำหน้าที่ได้ดีอยู่ เลยทำให้แรงกดดันภายในพรรค ประเภทเปิดเผยตัวยังมีแค่ “ไม่กี่คน” ที่ส่วนใหญ่ ก็เป็นหน้าเดิมๆ คือ ส.ส.ในกลุ่มสายตรงข้ามจุรินทร์และส.ส.ฝ่ายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตหัวหน้าพรรคเท่านั้น
เท่ากับว่า “จุรินทร์” ยังคงเป็นหัวหน้าพรรคต่อไป แม้ก่อนหน้านี้ หลังเกิด “ปริญญ์เอฟเฟกต์” จากผลพวงจากคดีฉาว “ปริญญ์ พานิชภักดิ์” ที่ “จุรินทร์” กับกรรมการบริหารพรรคชุดปัจจุบันบางส่วน เป็นคนนำ “ปริญญ์” มาเข้าพรรค พร้อมกับให้ตำแหน่งทั้ง “รองหัวหน้าพรรค-หัวหน้าทีมเศรษฐกิจทันสมัย-ผอ.เลือกตั้งกรุงเทพมหานคร”
ผนวกกับมาเจอแรงกระแทก-การทิ้งบอมบ์จาก “วิทยา แก้วภราดัย” อดีตส.ส.นครศรีธรรมราชหลายสมัย-อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ที่อยู่กับพรรคประชาธิปัตย์มาร่วมสามสิบปี ที่ได้ลาออกจากปชป.ไปแล้ว เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา แต่ก่อนลาออก ก็โยนระเบิดใส่ “จุรินทร์-กรรมการบริหารพรรค” ให้แสดงสปิริตรับผิดชอบกับเรื่องที่เกิดขึ้นกับ “ปริญญ์” เพราะเป็นเรื่องที่สร้างความเสียหายกับ “ปชป.” อย่างมาก
ผู้คนเลยจับจ้องกันไปที่การประชุมใหญ่พรรคปชป.เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา แต่สุดท้ายก็ไม่มีอะไรกอไผ่ เพราะ “จุรินทร์” อ้างว่า เรื่องที่เกิดขึ้น พรรคไม่ได้นิ่งเฉย มีการแก้ไขปัญหาแล้ว โดยการตั้งกรรมการขึ้นมาพิจารณาตรวจสอบ และบอกว่า หน้าที่ของกรรมการบริหารพรรคคือต้องแก้ปัญหาไม่ใช่ว่าพอมีปัญหาแล้วหนีปัญหา เพราะถ้าทำแบบนั้นคือ “ไม่รับผิดชอบ”
ก็อย่างที่บอกตอนต้นคือ การที่ “จุรินทร์” ยังเป็นหัวหน้าพรรคต่อไป ไม่ใช่เรื่องเหนือความคาดหมาย ผนวกกับในความเป็นจริง คนในพรรคปชป.ก็ได้ยินข่าวรับรู้มาตลอดอยู่แล้วว่า “วิทยา แก้วภราดัย” อาจย้ายออกจากพรรคปชป. หลังมีข่าวมาได้ช่วงหนึ่งแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการย้ายไปพรรครวมไทยสร้างชาติ เพื่อไปทำงานร่วมกับอดีตปชป. ที่จะไปรวมตัวกันที่นั่นเช่น “พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค-เอกนัฐ พร้อมพันธุ์” เป็นต้น บ้างก็ว่า…อาจไปอยู่กับพรรครวมพลังประชาชาติไทยของ “สุเทพ เทือกสุบรรณ” ทำให้ คนในปชป.สายจุรินทร์ ส่วนใหญ่ไม่ได้แปลกใจที่ “วิทยา” ลาออก แต่คงเคืองๆ ว่า เมื่อจะออกไปแล้ว ทำไมต้องมาโยนระเบิดใส่ น่าจะจากกันด้วยดีมากกว่านี้
ส่วนกรณีปัญหา “เลือดไหลออกจากพรรคปชป.” ที่ล่าสุดคือ “วิทยา แก้วภราดัย” นั้น “จุรินทร์” บอกถึงเรื่องนี้ว่า “ในทุกวิกฤตก็มีโอกาส เมื่อเราไม่ประสงค์ให้ใครออกจากพรรค แต่ถ้าหากหลีกเลี่ยงไม่ได้ เราก็มีหน้าที่ต้องหาคนใหม่ในการเข้ามาชดเชยทดแทน ทุกองค์กรก็มีเข้ามีออก ทุกองค์กรก็มีสิ่งที่หมดภารกิจไป แต่ไม่ได้เห็นด้วยกับการที่ใครจะลาออก อย่าเข้าใจผิด แต่ทุกองค์กรต้องมีหน้าที่สร้างคนรุ่นใหม่ขึ้นมาในการที่จะต่อเติมอนาคตให้กับองค์กรนั้นๆ”
เป็นอันว่า บรรดาเอฟซีปชป.ทั้งหลาย ที่มีทั้งสายเชียร์จุรินทร์และไม่เชียร์จุรินทร์ แต่เมื่อรักจะชอบปชป.ต่อไป และจุรินทร์ยังไม่ลาออก เอฟซีพรรคปชป. คงต้องเอาใจช่วย ปชป.ให้ผ่านวิกฤตช่วงนี้ไปให้ได้
ขณะเดียวกัน “จุรินทร์” คงต้องให้ความสำคัญมากขึ้นกับเรื่องการบริหารจัดการภายในพรรคปชป. โดยเฉพาะกับการแก้ปัญหา “เลือดไหลออกจากพรรคปชป.ไม่จบไม่สิ้น”
แม้ในความเป็นจริง บางคนที่ออกไป ใจไม่อยู่กับปชป.นานแล้ว อีกทั้งบางคน ไม่เคยมาร่วมกิจกรรมอะไรกับพรรคปชป.ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา เลยทำให้ แกนนำปชป.สายจุรินทร์ ไม่ได้ให้ราคาอยู่แล้ว แต่ก็มีบางคนที่แกนนำพรรค ยอมรับว่าการลาออกไปจากปชป.ทำให้ พรรคเกิดแรงกระเพื่อมพอสมควร แม้ต่อให้บางคนจะเป็นคนละกลุ่มกับจุรินทร์
สำหรับคนที่ลาออกจากพรรคปชป.ไปก่อนหน้านี้ ลองไล่ชื่อดูก็มีอาทิ เช่น อย่างคนที่ลาออกไปเพื่อตั้งพรรคการเมืองเอง ก็มี “กรณ์ จาติกวณิช” อดีตรมว.คลัง-อดีตรองหัวหน้าพรรค และ “อรรถวิชช์ สุวรรณภักดี” อดีตส.ส.กทม. ที่ลาออกไปตั้ง “พรรคกล้า” แต่ก็ยังไม่ประสบความสำเร็จมากนัก นอกจากนี้ก็ยังมี “หมอวรงค์” หรือ “นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม” มือปราบโกงจำนำข้าว ที่เดิมทีลาออกไปอยู่กับ “สุเทพ เทือกสุบรรณ” ที่พรรครวมพลังประชาชาติไทย แต่สุดท้ายเกิดปัญหาขึ้น เลยทำให้ “หมอวรงค์” ลาออกมาตั้งพรรคการเมืองเอง คือ “พรรคไทยภักดี” โดยเน้นชูเรื่องการปกป้องสถาบันฯ
และที่ลาออกไปอยู่กับพรรคการเมืองตั้งใหม่ ก็ยังมีชื่อของ “นิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ” อดีตส.ส.พัทลุง 8 สมัย-อดีตรมว.วัฒนธรรม ที่เป็นอดีตรองหัวหน้าพรรคปชป.ภาคใต้ ซึ่งหลังมีปัญหาการทำงานกับกลุ่มจุรินทร์มาตลอด และมาแตกหักกันตอนเตรียมคนลงเลือกตั้งส.ส.พัทลุง เพราะขัดแย้งกับ “นิพนธ์ บุญญามณี” รมช.มหาดไทย มือขวาของ “จุรินทร์” เลยทำให้ “นิพิฏฐ์” ตัดสินใจลาออกจากปชป. ไปร่วมก่อตั้ง “พรรคสร้างอนาคตไทย” กับ “ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์” และ “อดีตสองกุมาร” พลังประชารัฐโดยการนำของ “ดร.อุตตม สาวยายน” จนได้เป็นรองหัวหน้าพรรคและประธานภาคพรรคสร้างอนาคตไทย
นอกจากนี้ อีกหนึ่งคนที่เป็นอดีตปชป.ที่ลาออกไป และมีข่าวว่าจะไปร่วมก่อตั้งพรรคการเมืองใหม่ก็คือ “พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค” อดีตรมว.ยุติธรรม ที่ก่อนหน้านี้ก็เคยลงชิงหัวหน้าพรรคปชป. แต่แพ้โหวตให้กับ “จุรินทร์” ต่อมาก็ลาออกมาเป็น “ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี” ของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จนถึงปัจจุบัน
โดยมีข่าวมาตลอดว่า “พีระพันธุ์” มีชื่อจะไปเป็น “หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ” ที่ “เสกสกล อัตถาวงศ์” ตั้งพรรครอไว้ หลังก่อนหน้านี้ “พีระพันธุ์” เคยไปร่วมงานกับพรรคพลังประชารัฐอยู่ช่วงหนึ่ง จนมีข่าวว่า “บิ๊กตู่” จะผลักดันให้เป็นหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐมาแล้ว
อย่างไรก็ตาม หลังเกิดปัญหาเรื่องคลิปเสียงกับ “แรมโบ้-เสกสกล” จนทำให้เจ้าตัวต้องลาออกจากทุกตำแหน่งทางการเมือง เลยมีข่าวว่า “พรรครวมไทยสร้างชาติ” อาจมีปัญหา จนมีข่าวช่วงหลัง “พีระพันธุ์” เริ่มลังเลใจที่จะไปร่วมเปิดตัวตั้งพรรครวมไทยสร้างชาติเสียแล้ว
นอกจากนี้ก็ยังมี “อดีตปชป.” ที่ลาออกไปในยุคจุรินทร์อีกหลายคนเช่น “วิฑูรย์ นามบุตร” อดีตรองหัวหน้าพรรคภาคอีสาน-อดีตรมว.พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ที่ข่าวว่า จะเลี้ยวเข้าพรรคภูมิใจไทย หลังก่อนหน้านี้ที่ไปดีลกับเพื่อไทยและทักษิณ ชินวัตรในการเข้าเพื่อไทยเกิดสะดุด เลยจะเข้าภูมิใจไทยแทน และอาจดึงน้องชาย “วุฒิพงษ์ นามบุตร” ส.ส.อุบลราชธานี ประชาธิปัตย์ ตามไปอยู่ด้วย
ส่วนคนอื่นๆ ที่ลาออกไปก่อนหน้านี้ก็มีเช่น “เอกณัฐ พร้อมพันธุ์ อดีตส.ส.กทม.-นาถยา แดงบุหงา อดีตส.ส.กทม.-สุรเชษฐ์ มาศดิสถ์ อดีตส.ส.นครศรีธรรมราช-อภิชัย เตชะอุบล-อนุชา บูรพชัยศรี อดีตส.ส.กทม.-ถวิล ไพรสณฑ์ อดีตประธานคณะทำงานฝ่ายกฎหมายพรรคประชาธิปัตย์” เป็นต้น
และหากถามว่า ปชป. “ยุคจุรินทร์” จะมีเลือดไหลออกอีกหรือไม่ ก็ตอบได้เลยว่า “มีแน่” โดยเท่าที่มีกระแสข่าวภายในพรรค พบว่าอาจจะมีส.ส.ปัจจุบัน-อดีตส.ส. ย้ายออกไปจากประชาธิปัตย์ หลังจากนี้อีกนับสิบเลยทีเดียว!
…………………
คอลัมน์ : ส่องป้อมค่ายการเมือง
โดย….“พระจันทร์เสี้ยว”