คืนหมาหอน เป็นการเข้าวันสุกดิบซื้อสิทธิ์-ขายเสียง โดยขบวนการที่ออกอาวุธ ชอบปฏิบัติการช่วงคืนสุดท้ายก่อนการเลือกตั้งในวันรุ่งขึ้น เลือกตั้งวันที่ 14 พ.ค.66 ก็ต้องซื้อเสียงคืนวันที่ 13 พ.ค.66
แต่การเลือกตั้งปี 66 การซื้อเสียงเปลี่ยนแปลงไปตามสภาพในแต่ละเขตเลือกตั้ง โดยเริ่มเปิดปฏิบัติการ ตรวจสอบ “คู่แข่ง” ในพื้นที่ว่ามีกี่คน ก่อนนำไปคำนวณหารด้วยจำนวนของผู้ใช้สิทธิเลือกทั้งหมดในเขตนั้น
สมมติเขตเลือกตั้งนั้น เป็นศึกสามเส้า และมีผู้มีสิทธิเลือกตั้ง 9 หมื่นคนถ้วน ดีดลูกคิดออกมาปุ๊บ ก็จดรายชื่อเพื่อซื้อเสียง 5 หมื่นคน
ตั้งเป้า 3.5 หมื่นคะแนน…ก็วิ่งถึงธง ที่เหลืออีก 1.5 หมื่นคะแนนยอมทิ้งน้ำ
บางเขตเริ่มเข้าสู่โหมดคืนหมาหอนก่อนฤดู ประเดิมออกอาวุธ 30 เม.ย. โดยเรียกหัวคะแนนสายตรงที่เป็นผู้นำท้องถิ่น ส่วนใหญ่ล้วนเป็นคนที่เคยช่วยเหลือเกื้อกูลช่วยเลือกตั้งระดับท้องถิ่น มารับของนำไปเป็นสินสอดทองหมั้น เปิดก๊อกแรก 1 พันบาทต่อหัว แจก 5 หมื่นคน ยอดรวม 50 ล้านบาทถ้วน
คู่แข่งก็ใช้กลยุทธ์เดียวกัน หากไม่มีอำนาจอยู่ในมือ ก็ต้องระมัดระวังเจอปล้นเอาของไประหว่างทางได้ ทำให้คืนหมาหอนกลายเป็นสัญลักษณ์ ไม่จำเป็นต้องซื้อเสียงในคืนสุดท้ายก่อนเลือกตั้ง ป้องกันคู่แข่งจับได้ไล่ทัน
แม้คู่แข่งเกทับหรือไม่กล้าออกอาวุธ คนที่ต้องการเข้าสู่อำนาจย่อมเปิดก๊อกสอง เตรียมจ่ายยอดเท่าเดิม ส่วนใหญ่ซื้อก่อนเลือกตั้ง 2 วัน
ซื้อเสียงเฉพาะผู้สมัครพรรคเดียวเขตเดียว 100 ล้านบาท ยังเป็นแค่ออเดิร์ฟ เพราะมีบางเขตสู้กันหนักถึง 160 ล้านบาท หัวละ 3 พันบาท
สอดรับกับข้อมูลที่ “ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์” อดีตนักการเมือง เดินทางเข้ายื่นหนังสือและเอกสาร หลักฐาน ยื่นให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ตรวจสอบการซื้อขายเสียงของผู้สมัครส.ส.
“ประเทศไทยราคาถูก 3,000 บาทซื้อประเทศไทยได้แล้ว” น้ำเสียงประชดประชันพฤติกรรมการซื้อเสียงที่รุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองไทย
พร้อมเปิดรายละเอียดการเกณฑ์คนไปฟังปราศรัย ไล่ตามสเต็ปจาก 300-500 บาทต่อหัว ค่ารถขนคน 1.2 พันต่อคัน
และเปิดหลักฐานการแชตไลน์หลุดโอนเงินไปให้บ้าง ส่งข้อความของบหาเสียงเพิ่มอีกเขตละ 5 ล้านบ้าง
แสดงให้เห็นว่าการเลือกตั้งครั้งนี้สุดสกปรก เพราะซื้อสิทธิขายเสียงทั่วประเทศไทย โดย “ชูวิทย์” ย้ำว่า ตอนนี้มีข้อมูลการซื้อเสียงครบทุกพรรคการเมืองแล้ว จะทยอยนำหลักฐานที่มีมายื่นให้ กกต. ต่อไป
ระหว่างที่ “ราษฎรเต็มขั้น” เขียน “คืนหมาหอน” เปลี่ยนไป ก็มีเพื่อนบ้านมาเรียกที่หน้าบ้านตอนเย็นๆ โดยสอบถามถึงบ้านหลังนี้มีสิทธิเลือกตั้งกี่คน “จะมีค่าน้ำร้อนน้ำชาให้ค่ะ”
ขนาด “กกต.” สวม “หนังเสือ” ขู่เปิดช่องรับแจ้งโกงเลือกตั้ง ตั้งเงินรางวัลแก่ผู้แจ้งเบาะแสที่เป็นประโยชน์ต่อการสืบสวน ไต่ส่วนดคดี 1 แสน-1ล้านบาท ขึ้นอยู่กับความสำคัญของข้อมูล
หรือว่าไม่มีใครในแผ่นดินกลัว “เสือตัวนี้” เพราะไร้เขี้ยวตะปบขบวนการโกงเลือกตั้ง เท่ากับปล่อยพวกคนที่ตั้งใจโกงเข้าไปเสวยอำนาจคอร์รัปชันประเทศต่อไป
ฉะนั้น…ถึงเวลาที่คนไทยหยุดเลือกพรรคที่โกง-ทุจริต-ซื้อสิทธิขายเสียง
………………………………
คอลัมน์ : ไขกุญแจ-ไขแหลก
โดย #ราษฎรเต็มขั้น