“โป๊ะแตก” ระบบเงินอีมันนี เมื่อ “ขุนคลัง” พิชัย ชุณหวชิร รองนายกฯ และรมว.คลัง เปิดว๊าบไส้ใน โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ปี 67 ผ่านผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และคนพิการ ยอดรวม 14.55 ล้านคน คนละ 1 หมื่นบาท “ครม.อิ๊งค์” ไฟเขียวงบประมาณเพิ่มเติมเฮือกสุดท้ายก้อนใหญ่ 145,552 ล้านบาท เร่งอัดฉีดเงินสดเข้าระบบ
กดปุ่มหัวจ่าย 25 ก.ย. ส่งเงินสดให้กลุ่มเปราะบางได้แค่วันละ 4 ล้านคน เพราะระบบโอนเงินมีขีดความสามารถจำกัด มันคือ “คอขวด” เป็น “จุดอ่อนใหญ่” อีกข้อของระบบการเงินปัจจุบันที่แก้ไม่ตก
โดยผู้บริหารของกระทรวงการคลังและแบงก์ชาติ วิสัยทัศน์อยู่เฉพาะในกรอบและยังเปิดศึกสงครามระหว่าง “ไทยคู่ฟ้า” กับ “วังขุนพรหม” มาตลอดยุครัฐบาลเพื่อไทย ไม่ยอมจับเข่าคุยกัน เพื่อกำจัดจุดอ่อนใหญ่
ตามด้วยมติครม.17 ก.ย.67 ยังแปลงโฉมนโยบายเรือธงดิจิทัล วอลเล็ต เป็นโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจหน้าตาเฉย แต่ยังยืนยันเดินหน้าดิจิทัลเฟสสอง พร้อมกับมี คำสั่งตั้งทีมกุนซือนายกฯ 5 อรหันต์ “พันศักดิ์ วิญญรัตน์-สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี-ศุภวุฒิ สายเชื้อ-ธงทอง จันทรางศุ-พงศ์เทพ เทพกาญจนา”
รอวัดกึ๋นทีมกุนซือนายกฯยังเฉียบแหลมล้ำยุคแค่ไหน โดยต้องใช้นโยบายเรือธงดิจิทัลเป็นหัวหอกวางพิมพ์เขียวพลิกพื้นประเทศไทย และ “ยุทธศาสตร์ใหญ่ปรับเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจประเทศไปทิศทางใด” คีย์เวิร์ดเด็ดนี้ “ศุภวุฒิ สายเชื้อ” เคยจั่วหัวเอาไว้ก่อนหน้าที่พรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาล
รัฐบาลควรมีคำตอบก่อนสิ้นปี 67 เพราะในวันแถลงนโยบายรัฐบาลต่อรัฐสภา ยังขับเคลื่อนบนโครงสร้างเศรษฐกิจเดิมทุกมิติ โครงสร้างเศรษฐกิจเก่า บนการเมืองเก่า
ขอยกตัวอย่าง เครื่องยนต์ด้านการท่องเที่ยว บางงานที่ใช้งบประมาณจัดซื้อจัดจ้าง จ่ายค่า “คิกแบ๊ก” 30% ถึงได้งานไปทำ
บางกระทรวงกำหนดเพดานตายตัว เงินงบประมาณที่จ่ายไปถูกหักส่งกลับส่วนกลาง 6% บางกระทรวงระดับ 7 ไประดับ 8 อาวุโสถึงความสามารถได้ สู้เงินหนัก 1 กิโลกรัมไม่ได้ ระดับ 8 ไประดับ 9 ก็สู้เงิน 5 กิโลกรัมไม่ได้
อีกตัวอย่าง ค่าเก็บผ่านด่านตามสถานที่ธรรมชาติต่าง ๆ พิมพ์บัตรปลอมขายให้นักท่องเที่ยว เก็บเงินเข้ากระเป๋าตัวเอง และส่งส่วนกลาง รายได้บานฉ่ำ ฉ้อราษฎร์บังหลวงโดยไม่เกรงกลัวอาญาแผ่นดิน
บุหรี่เถื่อนกับส่วย เป็นอีกปัญหาเล็กของผู้มีอำนาจ แต่กำลังบอนไซโรงงานยาสูบ สังกัดกระทรวงการคลัง ยุคธุรกิจใต้ดินฟูเฟื่อง บุหรี่เถื่อนเติบโตจาก 6% พุ่งกระฉูดเป็น 26% โดยเฉพาะบุหรี่จากเวียดนาม มาเลเซียทะลักผ่านด่านเข้าขายสบายทั่วไทย กลไกรัฐถูกควันบุหรี่บังตามิด
เป็นโจทย์ของ 5 กุนซือนายกฯ เร่งวางยุทธศาสตร์เปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจประเทศ โดยทดสอบระบบการเงินใหม่แทนระบบอีมันนีที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน
ขอเปรียบเทียบให้เห็นระบบเงินในรูปแบบต่างๆ เริ่มจาก เงินสดธนบัตร เหรียญที่ใช้อยู่ปัจจุบัน เป็น “เงินสด-แบงก์ชาติเป็นผู้สร้าง-ไม่มีคนกลาง-ข้อดี คุ้นเคย จับต้องได้-ข้อเสีย ใช้ต่อหน้า ค่าจัดการสูง 5 หมื่นล้านบาทต่อปี”
ระบบอีมันนี่-เงินอิเล็กทรอนิกส์ “เอกชนเป็นผู้สร้าง-รัฐควบคุม-รูปแบบเงินเป็นเครดิตระหว่างธนาคาร-ผ่านคนกลาง-ข้อดี ใช้สะดวก ไม่ต้องอยู่ต่อหน้าก็ใช้ได้-ข้อเสีย มีคนกลางค่าจัดการสูง”
ระบบคริปโตเคอเรนซี “เอกชนเป็นผู้สร้าง-รูปแบบเงินเป็นสินทรัพย์เทียมที่ไม่ใช่เงิน-ไม่มีคนกลาง-ข้อดี ปลอดภัย ไม่ต้องอยู่ต่อหน้าก็ใช้ได้-ข้อเสีย ไม่ใช่เงิน มักใช้ในการฟอกเงิน”
ระบบเงินสดดิจิทัล (D Cash) “ผู้สร้าง-แบงก์ชาติ-รูปแบบเงินสด-ไม่มีคนกลาง-ข้อดี สะดวก ปลอดภัย เหมือนเงินสดเป๊ะ ไม่ต้องอยู่ต่อหน้าก็ใช้ได้-ข้อเสีย เป็นเรื่องใหม่แกะกล่อง คนไม่คุ้นเคย”
ถึงบรรทัดนี้เชื่อมั่นว่า “5 กุนซือนายกฯ” สมองยังเฉียบแหลม มองเห็นระบบการเงินใหม่เป็นหัวหอกวางโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล เปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจประเทศ ก่อนบ้านเมืองผุพังเกินเยียวยา
………………….
คอลัมน์ : ไขกุญแจ/ไขแหลก
โดย…#ราษฎรเต็มขั้น