ขณะนี้ “ตาข่ายแหแห่งความหมดหวัง..!” ได้ซึมลึกถึง “เด็กระดับประถมศึกษาชั้นปีที่ 5..!” “อย่างน้อย?”ไม่พอใจพฤติการณ์ของผู้นำประเทศ
รัฐบาลปล่อยให้เพียงกระทรวงศึกษาธิการปรับเพียงหลักสูตรการสอนวิชาประวัติศาสตร์ ย่อมไม่เพียงพอสำหรับชนวนแห่งความหวังของเยาวชน
นับจากนี้ไปเด็กและเยาวชนมีโอกาสเข้าร่วมชุมนุมผ่านช่องทางที่สะดวกเพิ่มมากขึ้น แต่การชุมนุมเหล่านี้อาจไม่ได้ “จบที่รุ่นเรา” แต่มีโอกาสสูงไปจบที่ “ทหาร” อีกรอบ
เพราะมีการเมืองเข้ามาผสมโรงเพื่อช่วงชิงอำนาจ โดยวางยุทธวิธีให้เด็กและเยาวชนเป็นทัพหน้า
สัมผัสได้จากมวลชนที่ออกมาในปี 63 มีเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี เปิดประตูบ้านออกมาใช้สิทธิเสรีภาพชุมนุมโดยสงบ เป็นการแสดงออกตามรัฐธรรมนูญ 60
ยังมีหลักปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนข้อที่ 19 ให้ความคุ้มครอง โดยระบุว่า ทุกคนมีสิทธิ์ในอิสรภาพแห่งความเห็นและการแสดงออก มีอิสรภาพในอันที่จะถือเอาความเห็นโดยปราศจากการแทรกแซง แสวงหา รับ และส่งข้อมูลข่าวสาร ตลอดจนข้อคิดผ่านสื่อใด โดยไม่คำนึงถึงพรมแดน
สำทับด้วยอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก เป็นหนึ่งในสนธิสัญญาด้านสิทธิมนุษยชน ซึ่งได้รับการรับรองจากประเทศต่างๆมากที่สุดในโลก โดยรับรองสิทธิในการมีส่วนร่วมของเด็ก เสรีภาพในการแสดงออก การชุมนุมอย่างสันติ ประเทศไทยได้ให้สัตยาบรรณ ในอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็กปี 2532
มีพลังแห่งความเปลี่ยนแปลงสูงมาก พอเข้าสู่กลางปี64พลังเหล่านี้อ่อนแรงลง
“ราษฎรเต็มขั้น” ฝากให้ทุกฝ่าย โดยเฉพาะรัฐบาลต้องระมัดระวังในการดูแลความปลอดภัยของผู้ชุมนุมและกระชับพื้นที่ชุมนุม หากพลาดพลั้งไปอาจเข้าทางขั้วการเมืองที่ต้องการช่วงชิงอำนาจ
ขณะเดียวกันองค์กรภายในและภายนอกประเทศ อาทิ แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย องค์การกองทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติ (UNICEF) คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.)
ต้องเก็บข้อมูลเพิ่มทั้ง “ฉากหน้าระหว่างการชุมนุมและฉากหลังการวางยุทธวิธีการชุมนุม !” เพื่อประมวลภาพรวมให้เท่าทันสถานการณ์ ก่อนสื่อสารถึงสาธารณะ เพื่อช่วยกันทำหน้าที่ให้เด็กและเยาวชนแสดงออกทางการเมืองได้อย่างเต็มที่
ที่ผ่านมา แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย จับมือกับองค์กรด้านสิทธิเด็ก อาทิ สายเด็ก (Child Line) กลุ่มหิ่งห้อยน้อย บ้านฟื้น นักจิตบำบัดอิสระ อาสาสมัคร คนทำงานที่สนใจด้านสิทธิเด็ก
ทำโปรเจค “Child in Mob” เพื่อตอบสนองต่อสถานการณ์ฉุกเฉิน ดูแลปกป้องและสนับสนุนสร้างพื้นที่ปลอดภัยต่อเด็กต่ำกว่า18 ปีที่ออกมา“ใช้สิทธิเสรีภาพในการแสดงออกและการชุมนุมอย่างสงบ”
ยูนิเซฟออกมากระตุกให้ทุกฝ่ายปกป้องเด็กและเยาวชนที่ออกมาชุมนุม
กสม. ยกอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก เกี่ยวกับมาตรฐานขั้นต่ำของสหประชาชาติว่าด้วยการบริหารงานยุติธรรมเกี่ยวกับคดีเด็กและเยาวชน หรือ “กฎแห่งกรุงปักกิ่ง” รวมถึงพ.ร.บ.ศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว ต้องคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของเด็ก สวัสดิภาพของเด็กและเยาวชนเป็นสำคัญ
“ราษฎรเต็มขั้น”ยกหลักการและเหตุผลขององค์กรต่างๆ เพื่อคุ้มครองสิทธิเด็กและเยาวชนให้ปลอดภัยจากการชุมนุม เตือนรัฐไม่ให้ใช้มาตรการกระชับพื้นที่รุนแรงเกินกว่าเหตุ
ซึ่งมีหลายครั้งเจ้าหน้าที่ใช้มาตรการรุนแรงเกินกว่าเหตุ แม้มีเพียง “กระสุนยาง-แก๊สน้ำตา-ฉีดน้ำแรงดันสูง”
โดยเฉพาะสถานการณ์ตลอดเดือนส.ค.มีการชุมนุมหลายครั้ง ทุกครั้งมวลชนส่วนใหญ่แสดงออกโดยสันติ
แต่สุดท้ายผู้ชุมนุมส่วนน้อยชอบปิดเกมรายวัน สร้างสถานการณ์ป่วนเมืองมาตลอด อาวุธที่พบเห็นจนชินตา “หนังสะติ๊ก-ลูกแก้วใหม่เอี่ยม-หัวน็อตใหม่เอี่ยม-พลุเกรดพรีเมี่ยม” ถูกกระจายจ่ายแจกให้ “กองกำลังเด็ก” แบ่งเป็นโหนด ไม่ขึ้นตรงต่อกัน
พฤติการณ์ป่วนเมืองกำลังยกระดับความรุนแรงไปเรื่อย ตามยุทธิวิธีของผู้บงการเกมอยู่เบื้องหลัง
“กลุ่มที่ใช้ความรุนแรงหรือก่อเหตุความวุ่นวาย สร้างความเสียหายต่อทรัพย์ทั้งเอกชนและภาครัฐ ส่วนใหญ่จะเป็นเด็กและเยาวชน ซึ่งตำรวจได้จับกุมดำเนินคดีไปก่อนหน้านี้หลายคนแล้ว” พล.ต.ต.ปิยะ ต๊ะวิชัย รองผชบ.น. ระบุ
และในรอบสัปดาห์นี้มีเด็กอายุไม่ถึง 15 ถูกยิงจากกระสุนไม่ทราบฝ่าย บาดเจ็บสาหัส
นับต่อจากนี้ไปขบวนการที่ใช้เด็กและเยาวชนเป็นกันชนหน้ารายไหนมีโอกาสเป็นเหยื่อคนต่อไป
“ราษฎร์เต็มขั้น” ขอถาม “บิ๊กปั๊ด” พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. ว่า ทำไมตำรวจไม่สาวถึงผู้บงการเกมอยู่เบื้องหลังได้ แค่ตรวจสอบแหล่งที่มาของ “ลูกแก้ว-หัวน็อต-พลุ”
หรือมีอำนาจซ้อนอำนาจต้องการเปลี่ยนรัฐบาล โดยสร้างฉากสถานการณ์รุนแรง เพื่อไปให้ถึงจุดนั้นได้อย่างแยบยล
……………………….
คอลัมน์ : ไขกุญแจ/ไขแหลก
โดย …. ”ราษฎรเต็มขั้น”