ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา ต้องบอกว่า “มวยคู่เอก” ที่ออกมาฉะกัน เกี่ยวกับประเด็นนักธุรกิจจีน ที่เข้ามาประกอบธุรกิจผิดกฎหมายหลายอย่างในไทย หนีไม่พ้นเป็น “ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์” อดีตนักการเมืองชื่อดัง กับ “สันธนะ ประยูรรัตน์” อดีตตำรวจสันติบาล
โดย “ชูวิทย์” ได้แฉกลุ่มนักธุรกิจจีน 5 กลุ่มหลัก ที่เข้ามาหากิน ทำธุรกิจผิดกฎหมายในไทย หนักสุดคือการเปิดผับศูนย์เหรียญ มียาให้นักท่องเที่ยวอัพ เสพไม่หมดฝากเอาไว้ได้อีก ไม่เกรงกลัวกฎหมายกันเลย สุดท้าย….ตำรวจโดย “พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล” และ “พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล” 2 รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ที่แท็กทีมกันทำงาน
ต่อมา “สันธนะ” ได้เอาคืน “ชูวิทย์” โดยกล่าวหาว่า “ไปรับงานใครมาให้ข้อมูลมั่วๆ พาดพิงนักธุรกิจจีน จนอาจกระทบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือไม่” พร้อมกันนี้ ได้ให้ “สายลับตัวเอง” ไปแอบถ่ายคลิปการมั่วสุมกันในสถานบริการ ที่เปิดในโรงแรมของ “ชูวิทย์”
“สันธนะ” ได้นำคลิปที่เข้าห้องน้ำหลายๆ คนพร้อมกัน มาแฉว่า เข้าไปทำอะไรไม่ดีหรือเปล่า บางคนออกมาทำจมูกฟึดฟัดๆ แต่สุดท้าย เมื่อตำรวจเข้าตรวจสอบ และไม่พบการกระทำผิดตามที่ “สันธนะ” กล่าวอ้างไว้
ล่าสุด “ชูวิทย์” ออกมาตอบโต้เรื่องนี้ เชื่อว่าที่ “สันธนะ” ออกมาโวยวาย เพราะไปแตะผลประโยชน์ของ “5 มังกรจีน” ที่มาทำธุรกิจสีเทาในไทย
ล่าสุด อดีตนักการเมืองจอมแฉได้บอกว่านอกจากผับศูนย์เหรียญแล้ว ยังมี “บริษัทศูนย์เหรียญ” อีกด้วย โดยเข้าไปประมูลงานรัฐ นับพันล้านบาท
วันที่ 8 พ.ย. ที่โรงแรม Davis Hotel Corner Wing “ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์” อดีตนักการเมืองชื่อดัง แถลงกรณีกลุ่มธุรกิจสีเทาของชาวจีนว่า ตอนนี้นายทุนจีน กระจายการลงทุนอยู่ในหลายประเทศ เช่น เวียดนาม กัมพูชา ลาวและไทย เพื่อ “ฟอกเงิน” เนื่องจากรัฐบาลจีน ปราบปรามการทุจริตอย่างหนัก
เขายกตัวอย่าง ในประเทศเวียดนาม และกัมพูชา เช่น สีหนุวิลล์ ราคาที่ดินสูงขึ้นมหาศาล เฉพาะบ่อนพนันออนไลน์เดือนเดียว ได้กำไร 2,000 ล้านบาท ดังนั้นที่ดินที่นายทุนชาวจีนไปกว้านซื้อสร้างตึก สร้างฐานบัญชาการ จึงมีราคาเพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก
“ชูวิทย์” บอกว่า สำหรับรูปแบบการทำธุรกิจในไทย คนกลุ่มนี้เป็นชาวจีนใส่สูทปล้น เป็นกลุ่มบริษัทและโรงงานจีนในไทย พร้อมบัญญัติศัพท์ เรียกว่า “กลุ่มบริษัทศูนย์เหรียญ” เหมือนทัวร์ศูนย์เหรียญและผับศูนย์เหรียญที่ตำรวจเพิ่งปราบไป กลุ่มนี้เป็นเหมือนเพลี้ยที่เข้าไปสูบเอาทรัพยากรจนแห้ง เมื่อไร้ผลประโยชน์ก็บินไปที่อื่น
วิธีการของบริษัทนายทุนจีนใส่สูท จะเปิดบริษัทตามกฎหมายไทยกำหนด คือมีสัดส่วนคนไทยถือหุ้น 51% และให้ต่างชาติ ถือหุ้นในสัดส่วน 49% ซึ่งพ.ร.บ.การจัดซื้อจัดจ้าง ประกอบกับ พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว ระบุว่า บริษัทต่างด้าวห้ามประกอบธุรกิจที่คนไทยยังไม่มีความสามารถพร้อมจะแข่งขัน เช่น การสีข้าว การทำประมง การผลิตปูนขาว สถาปัตยกรรม การทำกิจการทางวิศวกรรม
แต่ปรากฎว่า มีบริษัทอักษรย่อ H จดทะเบียนเมื่อปี 2543 ทุนเริ่มต้น 20 ล้านบาท และยังมีผู้ถือหุ้นชาวไทย ต่อมา มีการเปลี่ยนผู้ถือหุ้นคนไทยออก จนกระทั่งมีแต่ชาวต่างชาติถือหุ้นร้อยเปอร์เซนต์ เพิ่มทุนจดทะเบียนเป็นกว่า 80 ล้านบาท
ในปี 2565 บริษัทนี้ เพิ่งประมูลงานของหน่วยงานรัฐ ด้วยงบประมาณจัดซื้อจัดจ้างสูงถึง 1,500 ล้านบาท โดยพฤติกรรมจะสั่งซื้อสินค้ามาจากจีนโดยตรง ซึ่งเรื่องนี้รัฐจะไม่รับรู้ไม่ได้ คาดว่า ใน 2-3 สัปดาห์นี้อาจมี “หมายจับรายใหญ่” ซึ่งเกี่ยวข้องกับเรื่องการเมือง
“ชูวิทย์” ยังกล่าวถึงกรณีที่ “สันธนะ ประยูรรัตน์” อดีตนายตำรวจสันติบาล ที่มาแฉว่า โรงแรมตัวเองมีนักท่องเที่ยวที่มาใช้บริการในสถานบันเทิง มั่วสุมกันในห้องน้ำ แต่กลับมีแค่คลิปวีดีโอที่ไม่มีหลักฐานใดๆ มากล่าวอ้าง พอตำรวจมาตรวจสอบก็ไม่พบสิ่งผิดกฎหมาย จึงเชื่อว่าการออกมาตีโพยตีพายนี้ น่าจะมีเบื้องหลังที่ตัว “สันธนะ” อาจเสียผลประโยชน์อะไรบางอย่าง
หลังจากนี้ ต้องรอดูศึกยกต่อไประหว่าง 2 คนนี้ ที่ออกมาให้ข้อมูลหักล้างกันแต่ละครั้ง เรียกว่าสมน้ำสมเนื้อจริงๆ
……..
รายงานพิเศษ : ฟ้าคำราม