เปิดเบื้องลึกรูปแบบธุรกิจ “ทุนจีนสีเทา” ฝังรากลึกในไทย

ต้องบอกว่าเป็นคดีที่กำลังเข้าด้ายเข้าเข็ม กรณีที่ “ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์” ออกมาแฉการทำธุรกิจผิดกฎหมายในไทย ของคนจีนบางกลุ่ม ที่เขาเรียกว่า กลุ่มทุนจีนสีเทา มีการสืบสวนขยายผลจับกุมตั้งแต่ นายตู้ห่าว ยึดทรัพย์ไปกว่า 5 พันล้าน และเครือข่ายทุนจีนรวม 5 กลุ่ม

และหนึ่งในผู้ต้องหาที่เพิ่งถูกควบคุมตัวล่าสุด คือ “โทนี่ ยิป” หรือ นายเฉิน เจ้า หุ้ย อายุ 52 ปี ตามหมายจับศาลอาญา โดยตำรวจชุด “บิ๊กโจ๊ก-พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล” ตามจับกุมได้ที่คอนโดฯย่านพระราม 9

“โทนี่ ยิป” เป็นเจ้าของผับสเปซพลัส ผับหรูระดับไฮเอนด์ ที่ต้องเปิดเมมเบอร์หลัก 3 หมื่นอัพ ถึงพากันเข้าไปกินดื่มได้ ตั้งอยู่ในย่านอาร์ซีเอ

และหากลองย้อนตรวจข้อมูลดู จะพบชื่อของ “โทนี่ ยิป” อยู่ในการแข่งขันมวยไทยชื่อดังๆ หลายๆ รายการ มีการถ่ายทอดสดตามช่องฟรีทีวี และเขาเอง ถือเป็นที่รู้จักกันดี ในวงการมวยไทย ที่จับคู่ชกกับมวยฝรั่งในยุคใหม่ๆ

ขณะเดียวกัน เจ้าหน้าที่ยังจับกุม “เสี่ยน้อย-ณัฐสณฑ์ หุตะเสวี” ผู้บริหารคนไทย ผับสเปซพลัส ฐานเป็นกระทำความผิดเกี่ยวกับการถือหุ้นแทนคนต่างด้าว (นอมินี) ตาม พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 มาดำเนินคดีอีกด้วย

ต้องย้ำว่า ผู้ถูกจับกุมทั้งหมดนี้ ยังถือเป็นผู้บริสุทธิ์ จนกว่าจะเข้าสู่กระบวนการตัดสินในชั้นศาลให้ถึงที่สุด ยังมีเวลานำพยานหลักฐานต่างๆ มาพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเอง

ล่าสุด ตำรวจได้ให้ประกันตัวนายโทนี่ หรือ เฉิน เจ้า หุ้ย เจ้าของสถานบันเทิงดังไปแล้ว โดยพล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. อธิบายว่า ความผิดเกี่ยวกับการประกอบธุรกิจขอคนต่างด้าวนั้น มีอัตราโทษไม่สูง ผู้ต้องหาสามารถยื่นขอประกันตัวได้ ทางทนายของโทนี่ได้ยื่นขอประกันตัวทุกอย่างเป็นไปตามสิทธิ์ตามหลักสากล

เมื่อลองมาไล่เรียงรูปแบบการกระทำผิดของกลุ่มทุนจีนสีเทาในประเทศไทย จะพบว่ามีอยู่ประมาณ 5 รูปแบบหลัก

1.สถานบันเทิง อาทิ ท็อปวันคลับ ย่านถนนรัชดาภิเษก สเปซพลัสคลับ เบบี้เฟซ ย่านอาร์ซีเอ หรือคลับวัน ที่พัทยา ล้วนแล้วแต่มีนายทุนจีนเข้ามาเกี่ยวข้อง ที่สำคัญที่สุด คือผับจิ้นหลิง ในย่านยานนาวา ที่ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการกวาดล้างทุนจีนสีเทา เนื่องจากมีการปล่อยให้เสพยา เปิดเกินเวลาอย่างโจ๋งครึ่ม

2.ธุรกิจท่องเที่ยวครบวงจร เช่น ธุรกิจของนายตู้ห่าว ที่มีการจัดทำศูนย์การแสดงสินค้าขนาดใหญ่ ไว้รองรับทัวร์คนจีน มีโชว์สัตว์ต่างๆ ให้ดู มีศูนย์อาหารรองรับเอาไว้เเบบครบวงจร

3.ธุรกิจโรงแรม ที่พัก ร้านอาหาร โดยหนึ่งในธุรกิจที่นายตู้ห่าว ถูกพาดพิงว่ามีส่วนร่วม นั่นคือธุรกิจโรงแรม 5 ดาว ที่เพิ่งเปิดตัวไปปี 2562 อยู่ในย่านสุวรรณภูมิ

4.ธุรกิจกีฬา โดยเฉพาะกีฬามวยไทย ที่นายทุนจีนสีเทาบางคน เข้าไปคลุกคลีถึงขั้นเป็นโปรโมเตอร์ รู้จักนักมวยไทยชั้นแนวหน้าหลายๆ คน

5.ธุรกิจเกี่ยวกับการเกษตร เช่น การเปิดบริษัทเเปรรูปที่นอนยางพาราขนาดใหญ่ เอาไว้ขายในศูนย์แสดงสินค้ารับนักท่องเที่ยวจีน

ล่าสุด “ชูวิทย์” บอกว่า การทำงานของบรรดา “มาเฟียจีน” ต้องมี “นอมินี” เป็นตัวแทนออกหน้าเสมอ อย่างเช่น นายตู้ห่าว มี นางพัชรินทร์ เจ้าของโรงแรมหรู นายโทนี่ มี นายน้อย, นายหลิน หลง ใช้เครื่องแบบทหารอวดอ้างเบื้องสูง เป็นต้น

กลุ่มจีนเทาบางกลุ่มใช้วิธีการ “เช่า” นอมินีตัวแทน ผ่านการช่วยเหลือของสำนักงานกฎหมายบางแห่ง ที่หากินกับคนจีนโดยเฉพาะการเปิดบริษัท มีอัตราตามนี้

1.ค่าจดทะเบียนบริษัทร่วมทุนในประเทศไทย 35,000 บาท

2.ค่าธรรมเนียมของรัฐ 6,500 บาท

3.ค่าร่างและจดทะเบียนข้อบังคับบริษัท 15,000 บาท

4.ค่าดำเนินการโอนหุ้นลอย (ให้นอมินีไทยโอนหุ้นลอยไว้ กันหนี) 15,000 บาท

5.“ค่าเช่านอมินี” 40,000 บาท/คน/ปี

สำหรับความคืบหน้าคดีการจับกุมขบวนการทุนจีนสีเทา ทาง พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล ได้เข้าไปรายงานความคืบหน้าโดยตรงกับนายกรัฐมนตรี ที่ทำเนียบรัฐบาล พร้อมบอกว่า ขณะนี้ตำรวจและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถยึดอายัดทรัพย์สินของตู้ห่าวคนเดียวได้กว่า 5,000 ล้านบาท

ทรัพย์สินที่ว่า ยังไม่รวมเครือข่ายอื่น ๆ เช่น น.ส.พัชรินทร์ นอมินี หรือนายหลินหลง โดยตำรวจจะออกหมายเรียกให้มาชี้แจงที่มาของทรัพย์สิน ซึ่งทั้งคู่ยังคงหลบหนีอยู่ในประเทศไทย นอกจากนี้ ยังต้องขยายผลตามเส้นทางการเงิน จากข้อมูลที่ว่ายังมีเงินสดอยู่อีกจำนวนมาก ที่ตำรวจต้องตามอายัดให้ได้

โดยขณะนี้การสืบสวนและสอบสวนดำเนินไปมากกว่า 90% สามารถจับกุมผู้ต้องหาชาวจีนเครือข่ายได้แล้ว 102 ราย รวมถึงผู้ต้องหารายใหญ่ 5 ราย ยกเว้นนายหมิงที่อยู่ระหว่างการหลบหนีไปยังต่างประเทศ ขณะนี้ออกหมายจับสากลแล้ว

คาดว่าภายใน 3 สัปดาห์จะสามารถสรุปสำนวนได้แล้วเสร็จ สามารถสรุปส่งความเห็นให้อัยการได้

……….

รายงานพิเศษ : ฟ้าคำราม