เปิดคำวินิจัยฉบับเต็ม ศาลอาญาคดีทุจริตฯ “ยกฟ้อง” คดีที่ “ชาญชัย อิสระเสนารักษ์” ฟ้อง “ทอท.” กล่าวหาแก้ไขสัญญาดิวตี้ฟรี-บริหารพื้นที่เชิงพาณิชย์ 5 ฉบับ ทำรัฐเสียหาย 4.2 หมื่นล้าน เผยชัดๆ โจทก์ไม่ใช่ผู้เสียหาย ไม่มีสิทธิ์ฟ้อง ทั้ง 14 จำเลยก็ไม่ปรากฏว่าได้ประโยชน์อื่นใด จึงเห็นว่าคดีไม่มีมูล
เมื่อวันที่ 28 ก.พ.66 เวลา 09.30 น. ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง นัดฟังคำสั่งหรือคำพิพากษา คดีหมายเลขดำที่ อท 46/2564 นายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ โจทก์ นายประสงค์ พูนธเนศ ที่ 1 กับพวกรวม 14 คน จำเลย ข้อหาพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดฯ
โจทก์ฟ้องว่า บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทมหาชนจำกัด มีฐานะเป็นรัฐวิสาหกิจ โจทก์เป็นผู้ถือหุ้นใน ทอท. จำเลย ทั้งสิบสี่เป็นคณะกรรมการ บริษัทท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) วันเวลาตามฟ้องจำเลยทั้งสิบสี่ดำเนินการมีมติในที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) มีผลให้เป็นการแก้ไขสัญญาที่ทำไว้กับบริษัทเอกชนรวม 5 สัญญา โดยลดผลประโยชน์ที่ ทอท. จะได้รับจากสัญญาที่ทำไว้เดิม ทำให้ ทอท. รวมทั้งโจทก์ในฐานะผู้ถือหุ้นได้รับความเสียหาย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 84, 86, 90, 91, 157 พระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2502 มาตรา 3, 11 ความผิดต่อพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ.2561 มาตรา 4 (2), 27 ความผิดต่อพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ.2560 มาตรา 93, 97 (1) ความผิดต่อพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2552 มาตรา 9, 12 ความผิดต่อพระราชบัญญัติว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ.2535 มาตรา 5, 20 ความผิดต่อพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ.2525 มาตรา 89/7, 281/2, 311, 314, 315 และความผิดต่อพระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ.2525 มาตรา 215
ศาลพิเคราะห์แล้ว คดีมีประเด็นต้องวินิจฉัยว่า คำฟ้องของโจทก์มีมูลให้ประทับฟ้องหรือไม่ เห็นว่า ที่โจทก์บรรยายฟ้องอ้างว่าโจทก์เป็นผู้เสียหายมีอำนาจฟ้องคดีนี้ สำหรับความผิดของจำเลยทั้งสิบสี่ที่โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 พระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2502 มาตรา 11 นั้น ความผิดฐานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต มีองค์ประกอบของการกระทำความผิดสองลักษณะ
ประการแรก วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2566 ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางอ่านคำพิพากษา คดีนายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ ฟ้องคณะกรรมการบริษัทท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) กรณีเปลี่ยนแปลงวิธีการจัดเก็บเงินค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำการแก้ไขสัญญาสัมปทานในท่าอากาศยานฯ จำเลยผู้กระทำต้องมีเจตนาพิเศษเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด อันเป็นตัวอย่างของการกระทำความผิดทางอาญา ที่อาจมีผู้เสียหายหรือเหยื่ออาชญากรรมได้ เนื่องจากอาจมีพฤติการณ์ที่ชี้ให้เห็นว่า จำเลยมีเจตนามุ่งต่อความเสียหายของบุคคลหนึ่งบุคคลใดโดยเฉพาะ และบุคคลผู้ได้รับความเสียหาย จากเจตนาพิเศษดังกล่าวของจำเลยย่อมเป็นผู้เสียหายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 2 (4) และมีอำนาจฟ้องคดีอาญาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 28 ได้
ประการที่สอง จำเลยผู้กระทำต้องมีเจตนาโดยทุจริต ซึ่งประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 1 (1) บัญญัติว่า “โดยทุจริต” หมายความว่า เพื่อแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายสำหรับตนเองหรือผู้อื่น อันเป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของการกระทำความผิดทางอาญาที่ไม่มีเหยื่ออาชญากรรมหรือผู้เสียหาย ซึ่งถือว่ารัฐเท่านั้นเป็นผู้เสียหาย เมื่อการฟ้องคดีอาญาเป็นการดำเนินคดีซึ่งมีผลกระทบต่อสิทธิและเสรีภาพของผู้ถูกฟ้องและบุคคลที่เกี่ยวข้อง การดำเนินการตามกระบวนการยุติธรรมทางอาญา จึงย่อมต้องดำเนินการอย่างเคร่งครัดภายใต้บทบัญญัติแห่งกฎหมายที่กำหนดขึ้นเพื่อรับรอง คุ้มครองสิทธิ เสรีภาพ และกำหนดกระบวนวิธีพิจารณาความอาญาไว้ การฟ้องคดี วิธีพิจารณาคดีย่อมต้องอยู่ภายใต้บังคับของกฎหมายและต้องดำเนินการไปตามบทบัญญัติของกฎหมายอย่างเคร่งครัด ดังนั้น ความผิดตามบทบัญญัติดังกล่าวในส่วนที่ถือว่ารัฐเท่านั้นเป็นผู้เสียหาย โจทก์จึงไม่อาจเป็นผู้เสียหายได้
ส่วนกรณีการกระทำความผิดที่มีองค์ประกอบความผิดตามบทบัญญัติที่อาจมีผู้เสียหายหรือเหยื่ออาชญากรรมได้นั้น เมื่อทางไต่สวนไม่ปรากฏว่า จำเลยทั้งสิบสี่กระทำการตามที่โจทก์ได้บรรยายฟ้องโดยมีเจตนามุ่งหมายกลั่นแกล้งโจทก์ เพื่อก่อให้เกิดความเสียหายต่อโจทก์โดยตรง หรือโดยเฉพาะเจาะจงอย่างไร โจทก์จึงไม่ได้รับความเสียหายเป็นพิเศษ มิใช่ผู้เสียหายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 2 (4) โจทก์จึงไม่อาจเป็นผู้เสียหายที่มีอำนาจฟ้องคดีนี้ได้
สำหรับความผิดต่อพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ.2535 มาตรา 89/7, 281/2, 311, 314 และ 315 และความผิดต่อพระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ.2325 มาตรา 215 โจทก์บรรยายฟ้องโดยใช้สิทธิฟ้องคดีในฐานะผู้ถือหุ้นใน ทอท. ซึ่งเป็นบริษัทมหาชนจำกัด และใช้สิทธิเรียกร้องแทนนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัดมหาชน ในฐานะที่โจทก์เป็นผู้ถือหุ้นในบริษัทดังกล่าว กรณีบุคคลใดจะอ้างว่าตนเป็นผู้เสียหายในความผิดฐานใด ย่อมต้องพิจารณาว่าบุคคลนั้นได้รับความเสียหายหรือถูกกระทบต่อสิทธิของตนเพียงใด ความเสียหายที่เกิดแก่สิทธิที่อ้างว่าถูกกระทบนั้น สิทธิดังกล่าวมีขึ้นตามบทบัญญัติกฎหมายใด เป็นการใช้สิทธิโดยอ้างสถานะใดในทางกฎหมาย และมีข้อจำกัดสิทธินั้น ๆ ตามกฎหมายหรือไม่
ส่วนคำพิพากษาศาลฎีกาที่โจทก์ยกขึ้นอ้าง หาได้วินิจฉัยถึงเงื่อนไขการฟ้องคดีอันเป็นข้อเท็จจริงในคดีนี้ ซึ่งต้องพิจารณาต่อไปว่า เมื่อการใช้สิทธิของโจทก์เกิดขึ้นในฐานะที่เป็นผู้ถือหุ้น มิใช่บุคคลทั่วไป โจทก์จึงย่อมมีสิทธิและข้อจำกัดสิทธิภายใต้บังคับของกฎหมายเกี่ยวกับผู้ถือหุ้นนั้น ๆ กรณีจึงต้องพิจารณาต่อไปว่า สิทธิของโจทก์ถูกกระทบ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายหรือไม่ กล่าวคือ สิทธิของโจทก์อันเกิดขึ้น เนื่องจากโจทก์มีฐานะเป็นผู้ถือหุ้นถูกกระทบกระเทือนต่อสิทธิหรือไม่ ทั้งนี้ สถานะของโจทก์ในฐานะเป็นผู้ถือหุ้น เกิดขึ้นตามพระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ.2535 และพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ.2535 ซึ่งโดยทั่วไปนอกจากมีสิทธิได้รับผลประโยชน์ในหุ้นหรือเงินปันผล ผู้ถือหุ้นในฐานะหุ้นส่วนในบริษัท ยังมีภาระหรือต้องยอมรับในกรณีที่สิทธิหรือผลประโยชน์ที่จะได้รับดังกล่าว ต้องถูกกระทบหรือที่ต้องเสียไป เนื่องจากการบริหารงานหรือการดำเนินนโยบายของกรรมการหรือผู้มีอำนาจบริหารหรือดำเนินนโยบายนั้น ๆ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งยังถูกจำกัดสิทธิบางประการที่กำหนดให้ผู้ถือหุ้นจำต้องดำเนินการตามกระบวนการที่กฎหมายบัญญัติไว้หากจะใช้สิทธิเรียกร้องเกี่ยวกับผลประโยชน์หรือสิทธิที่ต้องเสียไป สิทธิอันเกิดขึ้นหรือมีขึ้น เนื่องจากเป็นผู้ถือหุ้น จึงยังไม่ถือว่าได้รับผลกระทบโดยตรงจากการดำเนินการของกรรมการหรือผู้มีอำนาจบริหารของบริษัท เนื่องจากจำต้องยอมรับในความเสียหายหรือสิทธิและผลประโยชน์ที่เสียไปอันเกิดจากการบริหารหรือดำเนินนโยบายของบริษัท โดยจะถือว่าผู้ถือหุ้นนั้นถูกกระทบกระเทือนสิทธิอันเกิดขึ้นจากการมีฐานะเป็นผู้ถือหุ้นนั้น ๆ จนเกิดความเสียหายก็ต่อเมื่อได้ดำเนินการตามกระบวนการจำกัดสิทธินั้นจนครบถ้วนแล้วตามกฎหมาย
เมื่อ ทอท. เป็นบริษัทมหาชนจำกัดและเป็นบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ต้องอยู่ภายใต้บังคับของพระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ.2535 และพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ.2535 ซึ่งได้กำหนดผู้มีอำนาจบริหารบริษัท กระบวนการใช้สิทธิของผู้ถือหุ้นในการบริหารบริษัทไว้เพื่อให้การบริหารจัดการบริษัทเป็นไปโดยเรียบร้อย มิให้การดำเนินการของผู้ถือหุ้นแต่ละรายก่อให้เกิดผลกระทบต่อผู้ถือหุ้นรายอื่นโดยไม่มีเหตุอันควร ซึ่งเป็นข้อจำกัดสิทธิของโจทก์ผู้ถือหุ้น เพราะกฎหมายมีเจตนารมณ์ไม่ต้องการให้ผู้ถือหุ้นเข้าไปก้าวล่วงจัดการเกี่ยวกับธุรกิจปกติของบริษัทมหาชนจำกัดที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์
เมื่อข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่า โจทก์ได้ดำเนินการตามกระบวนการดังกล่าว สิทธิของโจทก์ในฐานะผู้ถือหุ้นที่จะใช้สิทธิเรียกร้องจึงยังไม่เกิดขึ้นตามข้อจำกัดสิทธิของโจทก์ดังกล่าว ย่อมถือได้ว่าสิทธิของโจทก์ตามกฎหมาย ยังไม่ถูกกระทบยังไม่ได้รับความเสียหายตามกฎหมาย โจทก์จึงมิใช่ผู้เสียหายโดยนิตินัย ทั้งไม่ใช่ผู้เสียหายโดยนิตินัยที่จะมีอำนาจฟ้องแทน ทอท. ซึ่งเป็นนิติบุคคลได้ ตามพระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ.2535 และพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ.2535 ประกอบกับเมื่อพิจารณาแล้วการดำเนินการของจำเลยทั้งสิบสี่ตามฟ้อง มิใช่การดำเนินการอันเข้าบทนิยามตามพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ.2560 ที่ต้องดำเนินการต่อไปตามพระราชบัญญัติดังกล่าวต่อไป ดังนั้น การที่ไม่ปรากฏการดำเนินการตามพระราชบัญญัติดังกล่าวจึงมิใช่การอันมิชอบด้วยกฎหมายแต่อย่างใด
สำหรับการฝ่าฝืนไม่ดำเนินการตามพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ.2561 มาตรา 27 ได้ความจากหนังสือชี้แจงของสำนักงานเศรษฐกิจการคลังและคำเบิกความพยานศาลว่า การดำเนินการของจำเลยทั้งสิบสี่ตามฟ้องโจทก์ ไม่อยู่ในบังคับบทบัญญัติมาตรา 27 แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลัง พ.ศ.2561 และประกาศคณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐ เรื่อง การดำเนินกิจกรรม มาตรการ หรือโครงการที่ก่อให้เกิดภาระต่องบประมาณหรือภาระทางการคลังในอนาคต พ.ศ.2561 พร้อมตัวอย่างการดำเนินการของหน่วยงานอื่นที่ก่อให้เกิดการสูญเสียรายได้ แต่ไม่เข้าเงื่อนไขที่จำต้องขออนุมัติต่อคณะรัฐมนตรีตามกฎหมายและประกาศดังกล่าว
นอกจากนี้จากทางไต่สวนไม่ปรากฏว่า การดำเนินการตามกฎหมายต่าง ๆ ดังกล่าวที่โจทก์ยกขึ้นอ้างตามฟ้องมีการแปลความหรือแจ้งเวียน เผยแพร่แนวทางปฏิบัติอย่างชัดแจ้งให้เห็นได้ดังที่โจทก์ยกขึ้นอ้างแปลความ อันจะบ่งชี้แสดงให้เห็นได้ว่า จำเลยทั้งสิบสี่ได้ทราบแล้วจงใจไม่ปฏิบัติหรือมีเจตนาปฏิบัติดำเนินการให้ฝ่าฝืนหรือให้ขัดหรือแย้งต่อกฎหมายดังกล่าว ดังนั้น การที่จำเลยทั้งสิบสี่มิได้ดำเนินการดังที่โจทก์อ้าง จึงฟังได้เพียงว่า เป็นการดำเนินการที่แตกต่างหรือไม่ปฏิบัติตามกระบวนการที่สอดคล้องกับความเห็นของโจทก์เท่านั้น
ทั้งไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่า จำเลยทั้งสิบสี่ได้รับประโยชน์อื่นใดที่มิควรได้โดยชอบแต่อย่างใด กรณีจึงไม่ใช่เป็นการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหาย หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต และไม่มีผลให้ฟังได้ว่าเป็นการกระทำความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2542 มาตรา 12 หรือความผิดต่อพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ.2535 และพระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ.2535
ส่วนปัญหาที่ว่าเงินรายได้ของ ทอท.ทั้งหมดที่ได้รับมา ถือเป็นรายได้ของรัฐหรือไม่ การที่ ทอท. แก้ไขสัญญากับเอกชนและการออกมาตรการเยียวยาให้แก่ผู้ประกอบการที่ได้รับความเดือดร้อนเสียหายจากผลกระทบของวิกฤติการณ์สถานะการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (Covid-19) เป็นการกระทำให้รัฐสูญเสียรายได้หรือไม่ และเป็นการดำเนินการที่ฝ่าฝืนต่อพระราชบัญญัติว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ.2535 มาตรา 20 หรือไม่ ไม่จำต้องวินิจฉัย เพราะไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลงไป ทั้งนี้ ไม่ว่ากรณีจะเป็นเช่นไรก็ตาม เมื่อโจทก์ไม่ใช่ผู้เสียหาย ตามกฎหมายโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสิบสี่เป็นคดีนี้ คดีโจทก์ไม่มีมูล พิพากษายกฟ้อง