ประเด็นเรื่อง “แฉไป ไถไป” จาก “ทนายษิทรา เบี้ยบังเกิด” ถึง “ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์” กลายเป็นเรื่องใหญ่ในสังคม เพราะไม่มีใครคาดคิดว่า “จอมแฉทุจริต” จะไปมีพฤติกรรมเกี่ยวข้องกับการ “เรียกรับทรัพย์” ที่ทนายตั้ม พาดพิงว่ามีถึงหลัก 50 ล้านบาท
ต่อมา “ชูวิทย์” ยอมรับว่า ได้รับเงินจากผู้ทำเว็บพนันออนไลน์ และนักธุรกิจผิดกฎหมายจริง เป็นกลุ่ม “สารวัตรซัว” ที่ตัวเขาเองออกมาคนแฉข้อมูล โดยอีกฝ่ายหวังให้ยุติการแฉ แลกกับเงินหลายล้านบาท
“ชูวิทย์” ยอมรับอีกว่า ได้มีผู้หลักผู้ใหญ่ที่เป็นตำรวจ รู้จักกันเป็น 10 ปี ได้ประสานงานมา และนำเงินใส่ถุงมามอบให้ 6 ล้านบาท
เมื่อได้เงินนี้มา เขาไม่รู้จะทำอย่างไร เลยนำเงินไปบริจาคให้กับคณะแพทยศาสตร์ ของมหาวิทยาลัยแพทย์ 2 แห่ง เพื่อใช้ปรับปรุงห้องปฏิบัติการทางการแพทย์ รวมทั้งซื้ออุปกรณ์ทางการแพทย์
เขาเปรียบว่า ตัวเองไม่ใช่นักบุญ แต่เป็นคนบาปที่ขอกลับตัวกลับใจ ทำดีเพื่อสังคม โดยการกระทำของเขา ไม่ต่างจาก “โรบินฮู้ด” ที่ปล้นเงินคนรวย มาช่วยเหลือคนจน
กระแสสังคมแบ่งเป็น 2 ฝ่ายทันที
ฝ่ายหนึ่ง เห็นด้วยกับ “ทนายษิทรา” ที่ออกมาทักท้วง นำหลักฐานบางส่วนมาเปิดเผย ว่ามีการรับเงินจากเว็บพนันจริงหรือไม่ เพราะ “ชูวิทย์” เคยลั่นวาจาไว้ ว่าไม่ขอรับเงินจากกลุ่มธุรกิจสีเทากลุ่มนี้ แม้แต่บาทเดียว
ทนายตั้มย้ำว่า ที่ออกมาโพสต์ข้อมูลก็เหมือนเลือกจะฆ่าตัวตายไปแล้ว แต่เขาต้องการให้สังคมได้รับรู้ และฉุกคิด ว่าการกระทำของ “ชูวิทย์” ที่เอาเงินบาปมาบริจาคให้คณะแพทย์ มันทำให้ผู้ที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ แปดเปื้อนไปด้วยหรือไม่
ยิ่งกว่านั้น การกระทำดังกล่าว จะกลายเป็นต้นแบบให้เด็กและเยาวชน เดินรอยตามหรือไม่
เพราะสังคมไทยที่นิยมชื่นชอบบุคคล และดราม่าในทุกเรื่องราว มากกว่าข้อเท็จจริงและเหตุผล
ต่อมา ฝั่ง “ชูวิทย์” ที่นำข้อมูลมาชี้แจง แถลงยอมรับว่า มีการนำเงินมามอบให้จริง เมื่อไม่มีทางออก ก็เลยนำไปบริจาคเสียทั้งหมด
แต่ไทม์ไลน์การบริจาคเงินสีเทาดังกล่าวให้คณะแพทยศาสตร์ 2 แห่ง ก็ยังน่าสงสัย
และตัว “ชูวิทย์” ก็ไม่ได้เปิดเผย ให้สาธารณชนรับทราบที่มาของเงินตั้งแต่ต้น
จริงอยู่ว่าหากบอกไป ใครเขาจะรับบริจาค แต่คนระดับนายชูวิทย์ ที่เคยผ่านร้อนผ่านหนาว รบรากับตำรวจจนถึงขั้นได้เป็นผู้แทนในสภา ใครจะไปบีบบังคับได้
รู้อยู่แล้วว่าเงินบาปเหล่านี้ สามารถออกหน้าเสื่ออื่นๆ ก็ได้ อย่างเชน การนำวงจรปิด ที่บันทึกภาพผู้นำเงินมามอบให้ พร้อมนำเงินทั้งหมด ไปตรวจสอบเลขธนบัตร ว่าเบิกจ่ายมาจากธนาคารสาขาไหน ใครเป็นคนเบิกมา เพื่อเอาผิดสาวไปถึงต้นตอ
ก็ย่อมทำได้!!!
ในแง่มุมกฎหมาย แน่นอนว่า “ชูวิทย์” ไม่ใช่เจ้าหน้าที่รัฐ ไม่มีกฎหมาย ป.ป.ช.บังคับ เหมือนกรณีห้ามรับของกำนัลเกิน 3 พันบาทก็จริง
รวมทั้งความผิดฐานกรรโชกทรัพย์ ก็คงไม่เข้าข้อกฎหมาย เพราะต้องมีผู้เสียหายมาแจ้งความ แต่เรื่องที่เกิดขึ้นนี้ มี “นายพลตำรวจ” เป็นตัวกลาง ยัดเยียดงิน 6 ล้านมาให้ “ชูวิทย์” เอง
คำถามหลังจากนี้ คือ เงินบาปที่ “ชูวิทย์” นำไปละเลงให้กับคณะแพทยศาสตร์ ที่ผลิตบุคคลากรหัวกะทิของประเทศ ในการดูแลรักษาคนไข้นั้น…เหมาะสมหรือไม่???
ทำไม “ชูวิทย์” ถึงเลือกป้ายขี้ไปยังผู้คนที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ ทั้งที่ตัวเองรู้อยู่เต็มอก ว่าสามารถนำพยานหลักฐานเงินสดก้อนโตนี้ ไปแจ้งความให้สืบสาวเอาเรื่องเครือข่ายเว็บพนัน ที่เขาตั้งใจทำลายให้ได้
และสิ่งที่น่าห่วงนอกเหนือจากนี้คือ เสียงชื่นชมเปรียบ “ชูวิทย์” เป็นเหมือนโรบินฮู้ด ที่บีบเอาเงินจากโจรมาช่วยเหลือสังคมได้
เรื่องนี้ “ชูวิทย์” เองก็น่าจะรู้ดีอยู่แก่ใจเช่นกัน!!!
รู้อยู่แก่ใจ ว่าใครใกล้ตัว ใต้เงา “ชูวิทย์” ที่เดินแรง สายแข็ง
“ชูวิทย์” รู้อยู่แก่ใจดีแน่ๆ
รู้อยู่แก่ใจ เหมือนคดี 20 ปีก่อน ที่เขาแฉส่วยน้ำกาม ให้นครบาล 12 ล้านต่อเดือน
และระหว่างเป็นคดี เขาถูกอุ้มตัว ไปทิ้งไว้แถวมอเตอร์เวย์ลาดกระบัง ใครเป็นคนทำ???
………………….
รายงานพิเศษ : ฟ้าคำราม