มีความเห็นจาก คณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรมและการตำรวจ วุฒิสภา ได้หารือในเรื่องของการแก้ไขเพิ่มเติมหลักการ “ร่างกฎกระทรวงกำหนดปริมาณยาเสพติดให้โทษและวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท ที่ให้สันนิษฐานว่ามีไว้ในครอบครองเพื่อเสพ”
โดยร่างกฎกระทรวงฉบับนี้ มีการแก้ไขยาเสพติดให้โทษประเภท 1 คือ ผู้ครอบครองยาบ้าไม่เกิน 1 เม็ด ให้ถือว่าเป็นผู้เสพ ซึ่งแตกต่างจากหลักการเดิมที่กำหนดผู้ครอบครองยาบ้า 15 เม็ดให้ถือว่าเป็นผู้เสพ (หมายความว่าหากร่างนี้ผ่าน คนที่มียาบ้า 2 เม็ด ถูกดำเนินคดีเป็นผู้ค้า) โดยการปรับปรุงกฎกระทรวงดังกล่าวเพื่อจัดการกับปัญหาสังคมอย่างเด็ดขาดและมีประสิทธิภาพ ลดการกระจายของยาบ้า
โดยผู้ที่ครอบครองยาบ้าที่ปริมาณไม่เกิน 1 เม็ด จะได้รับการบำบัดรักษาดูแลอย่างบูรณาการจากทุกหน่วยงานของรัฐ
ขณะเดียวกัน เจ้าหน้าที่ตำรวจยังคงใช้ดุลยพินิจในการพิจารณาเจตนารมณ์และพฤติกรรม สามารถสันนิษฐานได้ว่าเป็นการครอบครองเพื่อการค้าหรือเพื่อเสพ
ที่ประชุมพิจารณาแล้วมีความเห็นและข้อเสนอแนะ 5 ข้อดังนี้
1.เป็นการกำหนดปริมาณที่ต่ำเกินไป ทำให้ผู้ที่มียาบ้าเพื่อเสพเพียงเล็กน้อย จะต้องถูกจับกุมดำเนินคดีเพียงสถานเดียว ไม่มีทางเลือกอื่น
2.ทำให้ผู้ครอบครองยาบ้าเพียงเล็กน้อยหรือเกินกว่า 1 เม็ด ไม่สามารถเข้าสู่การบำบัดรักษาตามมาตรา 114 ของประมวลกฎหมายยาเสพติดได้
3.จะทำให้มีผู้ที่ถูกจับกุมในคดียาเสพติดเพิ่มสูงขึ้น ปริมาณงานในชั้นพนักงานสอบสวน อัยการ ศาล จะมีปริมาณงานสูงขึ้นตาม รวมทั้งเป็นเหตุสำคัญที่จะทำให้มีนักโทษล้นคุกมากขึ้นอีกครั้ง
4.ผู้ครอบครองยาบ้าเพียงเล็กน้อยแต่เกินกว่า 1 เม็ด จะถูกดำเนินคดีในฐานความผิดร้ายแรงเกี่ยวกับยาเสพติดเช่นเดียวกับฐานความผิดเกี่ยวกับการค้า ซึ่งสามารถถูกตรวจสอบ ยึดอายัดทรัพย์สินได้ตามมาตรการที่ดำเนินการต่อผู้ค้า
5.ผู้ถูกจับกุมในฐานความผิดดังกล่าวจะมีประวัติในข้อมูลทะเบียนประวัติอาชญากรรม และอาจส่งผลต่อชีวิตในอนาคต
โดยสรุปแล้ว ที่ประชุมเห็นหากร่างกฎหมายฉบับนี้ จะเป็นการผลักให้ผู้เสพที่ครอบครองยาบ้าเหล่านี้เป็นปัญหาอาชญากรรม เป็นการหวนกลับไปใช้นโยบายยุติธรรมทางอาญาแบบเดิม ซึ่งจะสร้างปัญหาขึ้นมาอีก โดยหลังจากนี้ จะสรุปผลการพิจารณา เสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
หวั่นเกิดปัญหานักโทษล้นคุก
ขณะเดียวกัน มีข้อมูลจากกรมราชทัณฑ์ กระทรวงยุติธรรม เรื่อง ปัญหานักโทษล้นคุก
สถิติผู้ต้องขังทั่วประเทศ 264,218 ราย (อ่าน 2 แสนกว่าราย) ความจุ 1.6 ตารางเมตร/ราย ถือว่าเกินความจุประมาณ 30,000 ราย โดยร้อยละ 77.61 เป็นผู้ต้องขังคดียาเสพติด
สำหรับความหนาแน่นของจำนวนประชากรผู้ต้องขัง ไทยจัดอยู่ในอันดับที่ 6 ของโลก อันดับที่ 3 ของเอเชีย และอันดับที่ 1 ของภูมิภาคอาเซียน
ล่าสุด ในปีพ.ศ.2566 ไทยจัดอยู่ในอันดับที่ 8 ของโลก อันดับที่ 4 ของเอเชีย และอันดับที่ 2 ของภูมิภาคอาเซียน ถือว่าปรับตัวดีขึ้นมาบ้าง
“อนุทิน” ชี้อุดช่องโหว่ก.ม.ใช้เด็กเดินขายยาเสพติด
ก่อนหน้านี้ “อนุทิน ชาญวีรกูล” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า กรมการแพทย์ศึกษาผลกระทบมาแล้ว การเสพเพียง 1 เม็ด ก็มีผลกระตุ้นทางสมองแล้ว ขณะที่การศึกษาแนวทางของต่างประเทศ ถ้าประเทศไหนประกาศจำนวนครอบครองยาน้อยลง ก็จะทำให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องดำเนินคดีน้อยลง ผู้ใช้ยาเสพติดน้อยลง สังคมปลอดภัยมากขึ้น
การเปลี่ยนจำนวนกำหนดปริมาณยาเสพติด อย่าไปตกใจว่ามีเรื่องของการทำผิดมากขึ้น การยัดยาบ้า หรือการไม่พอของสถานที่คุมขังหรือสถานบำบัดต่างๆ ขอเรียนว่า ได้หารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว ไม่ได้ตั้งใจจะดำเนินคดีกับผู้เสพในทุกกรณี ในร่างกฎกระทรวงมีคำว่า “สันนิษฐาน” เอาไว้
อย่างเด็กถูกหลอกใช้มาเดินยาครั้งละ 5 เม็ด ตรวจกี่ที ก็มี 5 เม็ดในตัวตลอด ก็ดำเนินคดีไม่ได้ เพราะไม่เกินขอบเขตกฎหมาย แต่เอายามาหมุนขายทีละ 5 เม็ดไปไม่รู้กี่รอบแล้ว หากเป็นเด็กด้วย…ดำเนินคดีก็ลำบาก นี่คือการอุดช่องโหว่
การทำให้ลดลงมาเหลือ 1 เม็ด ถึงจะเป็นผู้ป่วย แต่ถ้าเกิน 1 เม็ดถึงจะเป็นผู้เสพและผู้ค้า ทำให้คนเลี่ยงบาลีใช้ช่องว่างช่องโหว่ของกฎหมายไปทำความผิดได้น้อยลง นี่คือเจตนารมณ์ของการแก้ไขร่างกฎกระทรวง
……………………….
รายงานพิเศษ : ฟ้าคำราม