หากเอ่ยถึงน้ำมันเถื่อน ที่เป็นข่าวขณะนี้ ถ้าจะละเลยคดี “เสี่ยโจ้ ปัตตานี” หรือ “สหชัย เจียรเสริมสิน” เจ้าพ่อค้าน้ำมันเถื่อนแห่งอ่าวไทย ที่เจ้าตัวยังลอยนวล สร้างรอยด่างพร้อยให้กระบวนการยุติธรรมไทย ไปคงไม่ได้
มีรายละเอียดจากเอกสารสำคัญ ที่จะเปิดประวัติเบื้องหน้าเบื้องหลังของ “เสี่ยโจ้” ให้ท่านผู้อ่านได้รับทราบ
เอกสารดังกล่าวเป็น คำพิพากษาฎีกาที่ 3332/2562 เป็นคดีระหว่างอดีตภรรยาเสี่ยโจ้ หรือที่เราขอเรียกว่า “เจ๊ญา” ถูก ปปง.ฟ้องในความผิดมูลฐานตา พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 ซึ่งเป็นความผิดเกี่ยวกับการหลบเลี่ยงภาษีศุลกากรในการทำน้ำมันเถื่อนของเสี่ยโจ้
สิ่งสำคัญในเอกสารคำพิพากษาคดี 3332 มีการสอบคำให้การของเจ้าหน้าที่ด้านการข่าว หน่วยงานความมั่นคงหลายคน ที่สืบสวนเชิงลึกคดีเสี่ยโจ้ และเราได้นำคำเบิกความทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับเสี่ยโจ้ ผู้ต้องหาที่ยังหลบหนีหมายจับขณะนี้
มาเรียบเรียงให้เห็นถึงอาณาจักร อิทธิพล ของมาเฟียอันดับ 1 แห่งท้องทะเลไทย ที่ลักลอบค้าน้ำมันเถื่อนมานานกว่า 20 ปี และกระบวนการยุติธรรมในประเทศไทย ไม่สามารถแตะต้องเขาได้
ย้อนปฐมบท “เสี่ยโจ้ ปัตตานี” คอนเน็กชั่น “เจ้าเมือง”
ปฐมบทของ “เสี่ยโจ้” ในแวดวงการค้าน้ำมันเถื่อนในท้องทะเลแถบจังหวัดปัตตานี เริ่มค้าน้ำมันเถื่อนมาตั้งแต่ปี 2544 แต่เพิ่งจะร่ำรวยในปี 2554 หรือใช้ระยะเวลากว่า 10 ปี ได้รับการสนับสนุนจาก อดีตนายตำรวจใหญ่จังหวัดปัตตานี ที่สมรสกับภรรยาที่มีเชื้อสายเจ้าเมืองเก่า มีความสนิทสนมกับบุคคลระดับสูงในรัฐกลันตัน และเริ่มทำธุรกิจด้วยกัน
โดยเสี่ยโจ้ ได้ช่องทางจัดหาน้ำมันจากประเทศมาเลเซีย ที่มีการจัดสรรน้ำมันราคาถูกพิเศษให้กับชาวประมง โดยใช้คอนเนคชั่นของภรรยาอดีตนายตำรวจใหญ่คุ้มครอง ประสานงานกับเจ้าหน้าที่มาเลเซียผ่านบริษัทนายหน้า นำน้ำมันดีเซลราคาพิเศษที่ทางการมาเลเซียอุดหนุนกิจการประมง ได้ถึงเดือนละ 100-150 ล้านลิตร
โดยบริษัทนายหน้า ได้ผลประโยชน์ 2-4 บาทต่อลิตร เป็นเงิน 200-300 ล้านบาทต่อเดือน ขณะที่ “เสี่ยโจ้” ได้ผลประโยชน์จากการจำหน่ายน้ำมันในอ่าวไทย 2-2.40 บาทต่อลิตร เป็นเงิน 200-300 ล้านบาทต่อเดือน แต่ต้องจ่ายส่วยจำนวนมาก ทั้งเจ้าหน้าที่ ผู้ร่วมลงทุน ข้าราชการระดับสูงและนักการเมืองหลายคน
ทั้งนี้ พบว่า เสี่ยโจ้ มีเงินหมุนเวียนในกิจการห้างหุ้นส่วนจำกัดสหทรัพย์ทวีค้าไม้ประมาณ 2,000-3,000 ล้านบาท ต่อเดือน และการดำเนินการตั้งแต่ปี 2553 พบว่ามีเงินหมุนเวียนในระบบกว่า 108,000 ล้านบาท (หนึ่งแสนแปดพันล้านบาท)
และเมื่อมีผลประโยชน์มหาศาลเข้ามาเกี่ยวข้อง ย่อมเป็นธรรมดาที่ ข้าราชการ ที่เห็นช่อง รีดไถ เข้ามาแสวงหาผลประโยชน์ โดยคำเบิกความที่ปรากฎในคำพิพากษานี้ โยงใยไปถึง อดีตผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง อดีตรองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง และมือทำงานคือ อดีตผู้บังคับการตำรวจน้ำ ที่เข้ามาหาผลประโยชน์จากเสี่ยโจ้อย่างเป็นขั้นเป็นตอน
ในรายละเอียดคำเบิกความที่ปรากฎในเอกสารที่ 3332 พบว่า เสี่ยโจ้เดินทางเข้าพบกับอดีตผู้บังคับการตำรวจน้ำรวมทั้งหมด 7 ครั้งที่ห้องทำงาน แต่ละครั้งหอบเงินจำนวนมากใส่กระเป๋าเป้ เป็นส่วยน้ำมันเถื่อนรวมเป็นเงินทั้งสิ้น 147.4 ล้านบาท และในจุดนี้ ฝั่งเจ้าหน้าที่มีการแอบอ้างเบื้องสูงจนถูกจับกุม
ยึดบัญชีส่วยน้ำมันพันล้าน 17 เล่ม “เสี่ยโจ้” รอดทุกคดี
ต่อมาหน่วยงานความมั่นคง ได้เข้าตรวจค้นบริษัทของเสี่ยโจ้ สามารถยึดบัญชีส่วย ที่ปรากฎ รายชื่อข้าราชการระดับสูง นักการเมือง ถึง 17 เล่ม รวมทั้งชื่อของ อดีตผู้การตำรวจน้ำท่านนี้ ทำให้ตำรวจระดับสูงทั้ง 3 นายถูกจับกุมตัว ดำเนินคดีเป็นข่าวใหญ่
สำหรับเสี่ยโจ้ ถูกแจ้งข้อกล่าวหา 14 คดี มีถึง 7 คดี หรือครึ่งหนึ่งที่อัยการสั่งไม่ฟ้อง, ปล่อยขาดอายุความ หรือไม่สามารถตรวจสอบสถานะของคดีได้ เท่ากับคดีจบไปโดยปริยาย ส่วนที่เหลือบางคดีก็อยู่ระหว่างออกหมายเรียกครั้งที่เท่าไหร่ไม่รู้ หรืออัยการสั่งสอบเพิ่ม โดยไม่มีวี่แววว่าจะเอาผิดได้เช่นกัน
“หมายจับหาย” กระบวนการพิสดารช่วยเหลือ “เสี่ยโจ้”
เหมือนกรณีล่าสุด ที่ตำรวจสอบสวนกลางจับตัวเขาได้แถวห้วยขวาง เมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน ตามหมายจับคดีฟอกเงินน้ำมันเถื่อน ตำรวจจึงคุมตัวเขาส่งไปคุมขังที่ศาลปัตตานี เพราะมีคดีดวงตราประทับไม้ปลอม เพราะคดีถึงที่สุดแล้ว เจ้าหน้าที่จึงหวังให้เสี่ยโจ้ถูกควบคุมตัวไว้ก่อน ระหว่างรอพิจารณาคดีฟอกเงิน
แต่ปรากฎว่า จากการตรวจสอบในระบบของตำรวจ ไม่พบหมายจับคดีดวงตราประทับไม้ปลอมที่ปัตตานี มีเพียงคดีฟอกเงินพบคดีฟอกเงินตามหมายจับของศาลจังหวัดสงขลาเพียงหมายจับเดียว เจ้าหน้าที่จึงต้องส่งตัวเสี่ยโจ้ ไปยังอัยการจังหวัดสงขลาและสุดท้าย อัยการไม่ฟ้องคดีนี้ จึงมีการปล่อยตัวเสี่ยโจ้ในที่สุด
โดยขณะนี้ เสี่ยโจ้หนีออกนอนประเทศไปแล้ว เพราะจากข้อมูลพบว่า มีความสนิทสนมกับคนระดับสูงของประเทศเพื่อนบ้าน ปัจจุบัน พบความเคลื่อนไหวของเสี่ยโจ้อยู่ที่ประเทศเวียดนาม
…………………………….
รายงานพิเศษ : ฟ้าคำราม