ครบ 2 เดือนเต็ม จากเหตุการณ์แผ่นดินไหวในประเทศไทย และตึกสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ที่อยู่ระหว่างก่อสร้าง พังถล่มลงมา จนทำให้มีผู้เสียชีวิต ที่เป็นแรงงาน กว่า 100 ราย
มีความเคลื่อนไหวสำคัญคือ หลังจาก กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) รับคดีดังกล่าว เป็นคดีพิเศษที่ 32/2568 มีการสรุปสำนวนในส่วนของ “คดีนอมินี” คือ บริษัท ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 (ประเทศไทย) จำกัด
พร้อมความเห็นเสนออัยการ “สั่งฟ้อง 5 ผู้ต้องหา” คือ “ประจวบ ศิริเขตร, โสภณ มีชัย, มานัส ศรีอนันท์” ที่เป็นผู้ถือหุ้น 3 คนไทย “ชวนหลิง จาง” กรรมการชาวจีน 1 ราย และ “บินลิง วู” นายทุนชาวจีน 1 ราย ที่อยู่ระหว่างการหลบหนี
ส่วนความเคลื่อนไหวในด้านอื่น เราได้ตรวจสอบ บันทึกการประชุมคณะกรรมาธิการกิจการศาล องค์กรอิสระ องค์กรอัยการ รัฐวิสาหกิจ องค์การมหาชน และกองทุน สภาผู้แทนราษฎร ซึ่งมีการชี้แจงจาก “ผู้บริหาร สตง.” ที่ให้ข้อมูลกรรมาธิการฯไว้น่าสนใจ ดังนี้
1.การบอกยกเลิกสัญญา เนื่องจากโครงการล่าช้า
จากข้อมูลในวันที่ 17 มีนาคม 2568 มีความคืบหน้าการก่อสร้างคิดเป็นร้อยละ 33.70 ล่าช้าไม่เป็นไปตามแผนงานที่กำหนดไว้ที่ต้องมีความคืบหน้าร้อยละ 80.77 คณะกรรมการตรวจรับพัสดุจึงได้ มีมติบอกเลิกสัญญา
อย่างไรก็ตาม เรื่องอยู่ระหว่างเสนอคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดินชุดใหม่ เพื่อพิจารณาบอกเลิกสัญญา แต่เกิดเหตุอาคารถล่มขึ้นก่อน
นอกจากนี้ คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดินชุดใหม่ รอพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯแต่งตั้ง จึงเป็นเหตุให้ยังไม่ได้บอกเลิกสัญญาดังกล่าว
ส่วนการเบิกจ่ายเงินไปแล้วรวม 966 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 45 ของงบประมาณค่าก่อสร้าง มากกว่าผลงานที่ผู้รับจ้างก่อสร้างทำได้
ทางตัวแทน สตง.ชี้แจงว่า ยอดเงินดังกล่าว แบ่งเป็นค่าจ้างล่วงหน้าตามสัญญา 320 ล้านบาท และเบิกจ่ายตามงวดงานที่ 1-22 อีก 646 ล้านบาท

2.ประเด็นเข้าร่วมโครงการจัดทำ “ข้อตกลงคุณธรรม”
สตง.ได้เสนอโครงการก่อสร้างอาคารที่ทำการสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน พร้อมสิ่งก่อสร้างประกอบ เพื่อขอเข้าร่วมโครงการจัดทำ ข้อตกลงคุณธรรม ตั้งแต่กระบวนการจัดซื้อจัดจ้าง แต่ว่าไม่ได้รับการคัดเลือกจากคณะกรรมการความร่วมมือป้องกันการทุจริต
ต่อมาในขั้นตอนการตรวจรับพัสดุ สตง. ได้ขอเข้าร่วมโครงการจัดทำข้อตกลงคุณธรรมอีกครั้ง เนื่องจากเห็นว่าเป็นโครงการซับซ้อน และได้หารือกับ องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) หรือ ACT เพื่อให้ช่วยผลักดันให้โครงการของ สตง. ดังกล่าวได้เข้าร่วมโครงการ จัดทำข้อตกลงคุณธรรม และขอให้ ACT มาร่วมสังเกตการณ์
โดย สตง. ยินยอมให้การสนับสนุนการดำเนินงานโครงการข้อตกลงคุณธรรม 200,000 บาทต่อปี จึงได้รับคัดเลือกให้เข้าร่วมโครงการในที่สุด

3.คุณสมบัติของเหล็กข้ออ้อยที่มีสัญลักษณ์ตัวนูน “T”
สตง.ยืนยันว่า เหล็กดังกล่าวได้มาตรฐาน มอก. ซึ่งก่อนการใข้งาน มีการหารือไปยังผู้ออกแบบ โดยผู้ออกแบบมีความเห็นว่า สามารถนำมาใช้ได้ โดยมีข้อควรระวัง 2 ประการ คือ
สำหรับงานก่อสร้างโครงสร้างหลักของอาคาร ไม่แนะนำให้ใช้การเชื่อมเหล็กเสริมคอนกรีต แต่แนะนำให้ใข้วิธีการทาบเหล็กหรือข้อต่อเชิงกลเท่านั้น
จะต้องดำเนินการทดสอบการดัดโค้งตามที่กำหนดไว้ในมาตรฐาน มอก. ไม่พบการปริแตกหรือรอยร้าวตรงส่วนโค้ง ดังนั้น เหล็กข้ออ้อยที่ มีสัญลักษณ์ตัวนูน “T” ผ่านหลักเกณฑ์ที่กำหนด จึงได้อนุมัติให้นำเหล็กดังกล่าวมาใช้
4.คอนกรีตที่ใช้ในการก่อสร้าง
เป็นไปตามขอบเขตของงาน TOR กำหนด คือ ใช้คอนกรีตของบริษัท ปูนซีเมนต์นครหลวง จำกัด (มหาชน) และบริษัท ทีพีไอ โพลีน จำกัด (มหาชน) มีการติดตั้งกล้องวงจรปิด เพื่อติดตามการทำงานของผู้รับจ้าง และทดสอบกำลังอัดคอนกรีต โดยวันที่เทคอนกรีตกับวันที่ทำการทดสอบ มีระยะห่างกันประมาณ 30 วัน
โดยพบว่า กำลังอัดคอนกรีตเป็นไปตามมาตรฐานที่กำหนด แต่มีข้อสันนิษฐานว่า คอนกรีตยังไม่เซ็ตตัว เป็นเหตุให้อาคารถล่ม จึงเป็นไปไม่ได้

5.บัญชีดำ บริษัทแม่ “ไชน่า เรลเวย์”
มีข้อมูลว่า บริษัทดังกล่าวเคยถูกธนาคารโลกขึ้นบัญชีดำ ห้ามประมูลโครงการที่ธนาคารโลกให้การสนับสนุน โดย สตง. ได้ตรวจสอบคุณสมบัติกิจการร่วมค้า ไอทีดี-ซีอาร์อีซีที่ เข้าร่วมค้ากับบริษัท ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 และ ไม่พบว่าบริษัท ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 (ประเทศไทย) ถูกขึ้นบัญชีดำในประเทศไทย
ส่วนกรณีบริษัทแม่ของบริษัท ไชน่า เรลเวย์ฯ ถูกธนาคารโลกขึ้นบัญชีดำหรือไม่นั้น ทาง สตง. ไม่ได้ตรวจสอบในประเด็นดังกล่าว
6.การแก้ไขสัญญาการออกเเบบ
ผู้แทนสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน ชี้แจงว่า มีการแก้ไขสัญญา 9 ครั้ง เนื่องจากปัญหาแบบงานโครงสร้างด้านวิศวกรรมขัดกับงานสถาปัตยกรรม
โดยขั้นตอนการแก้ไข ผู้รับจ้างก่อสร้างจะเสนอขอแก้ไขแบบรูปรายการ ไปยังผู้ให้บริการควบคุมงาน จากนั้นผู้ให้บริการควบคุมงานจะหารือไปยังผู้ออกแบบ โดยให้ถือคำวินิจฉัยของผู้ออกแบบเป็นข้อยุติ
ในสัญญาจ้างยังกำหนดให้วิศวกรระดับ “วุฒิวิศวกร” ให้การรับรองด้วย จากนั้นคณะกรรมการตรวจรับพัสดุ จึงจะพิจารณา และเสนอความเห็นไปยังผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินเพื่ออนุมัติแก้ไขสัญญา
7.สาเหตุการปรับลดความหนาผนังลิฟต์
มีการแก้ไข Core Wall อาคาร A เนื่องจากปัญหาแบบงานโครงสร้างขัดกับงานสถาปัตยกรรมภายใน และเพื่อให้บริเวณทางเดิน 2 ได้ความกว้าง ไม่น้อยกว่า 1.50 เมตร ตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ.2522
มีการหารือไปยังผู้ออกแบบ และผู้ออกแบบได้พิจารณาให้ปรับแก้ให้บริเวณทางเดิน มีความกว้าง 2.10 เมตร และบริเวณทางเดิน 2 ให้ได้ความกว้าง 1.60 เมตร
โดยปรับลดความหนาของผนังลิฟต์จาก 30 เซนติเมตร เป็น 25 เซนติเมตร และลดความยาวของผนังลิฟต์ลง 5 เซนติเมตร
8.การดำเนินการเอาผิด “เอกชน” ประมูลงาน
ตัวแทนจาก สตง. ยืนยันในที่ประชุมว่า บริษัทเอกชนที่เกี่ยวข้องในการประมูลงาน จะถูกขึ้นบัญชีดำห้ามเข้าร่วมประมูลโครงการของรัฐแน่นอน
แต่ปัญหาคือ เมื่อถูกขึ้นบัญชีดำแล้ว มักจะมีการจดทะเบียนบริษัทใหม่ และกลับมารับงานภาครัฐเหมือนเดิม จึงเสนอว่าควรนำกรณีของประเทศญี่ปุ่นมาเป็นแบบอย่าง คือ ขึ้นบัญชีดำทั้งบริษัทแม่และบริษัทลูก

9.การก่อสร้างอาคาร สตง.ในต่างจังหวัดถูกทิ้งร้าง
ผู้แทนสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน ชี้แจงว่า จากการตรวจสอบพบสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินในต่างจังหวัด 4 แห่ง ถูกผู้รับเหมาทิ้งงาน คือ ร้อยเอ็ด สตูล พะเยา และ นครนายก
โดยโครงการทั้งหมด ทาง สตง. ได้บอกยกเลิกสัญญาแล้ว และได้ดำเนินการจัดหาผู้รับจ้างใหม่ รวมทั้งเรียกค่าเสียหายจากผู้รับจ้างรายเดิม
10.ปัญหาการจัดซื้อครุภัณฑ์ที่มีราคาแพง
ผู้แทนสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน ชี้แจงว่า การจัดซื้อครุภัณฑ์ดังกล่าวเป็นการจ้างออกแบบสำหรับผู้บริหาร ราคาจึงแตกต่างจากการจัดซื้อครุภัณฑ์ทั่วไป
ในการออกแบบครุภัณฑ์จะพิจารณาถึงความเหมาะสมตามตำแหน่งของผู้บริหาร ตั้งแต่ประธานคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน กรรมการ และผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน ซึ่งเทียบเท่า “รัฐมนตรี”
นอกจากนี้ สตง. มีบทบาทสำคัญในเวทีโลกโดยเป็นสมาชิก The International Organization of Supreme Audit Institutions (INTOSAI) ซึ่งมีสมาชิก 94 ประเทศ และเป็นตัวแทนขององค์กรตรวจเงินแผ่นดินในระดับภูมิภาคเอเชีย
จึงมีความจำเป็นต้องมีห้องสำหรับรับรองแขกต่างประเทศ โดยราคาที่จัดซื้ออ้างอิงราคาตลาด มีการสืบราคา และมีเอกสารหลักฐานยืนยันได้
…………..
รายงานพิเศษ : ฟ้าคำราม