สป.ยธ. ยื่นหนังสือ ต่อ “วิชา” เสนอนายกฯ เร่งนำร่าง พ.ร.บ.ตำรวจฉบับ “มีชัย” และ พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติม ป.วิ อาญา เข้าสภา เพื่อปฏิรูปตำรวจและงานสอบสวน
เมื่อวันที่ 24 ก.ย.พันตำรวจเอก วิรุตม์ ศิริสวัสดิบุตร เลขาธิการสถาบันเพื่อการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม (สป.ยธ.) ได้ยื่นหนังสือต่อ ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.วิชา มหาคุณ ประธานคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย กรณีคำสั่งไม่ฟ้องคดีอาญาที่อยู่ในความสนใจของประชาชน เรื่อง “ ขอให้นำร่าง พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ ฉบับนายมีชัย ฤชุพันธุ์ เป็นประธาน และร่าง พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติม ป.วิ อาญา ฉบับที่ผ่านความเห็นชอบของสภาผู้แทนราษฎรเป็นหลักในการเสนอต่อนายกรัฐมนตรี เพื่อแก้ปัญหาและป้องกันการทุจริตประพฤติมิชอบในระบบตำรวจและงานสอบสวน พร้อมกับแนบ รายงานการพิจารณาศึกษาเรื่อง “การปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมทางอาญาในชั้นสอบสวน” ของกรรมาธิการกฎหมาย การยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร ส่งมาด้วย โดยเนื้อหาในหนังสือดังกล่าวมีใจความดังนี้ ตามที่นายกรัฐมนตรีได้ออกคำสั่งแต่งตั้งท่านเป็นประธานคณะกรรมการตรวจสอบปัญหาการสอบสวนคดีนายวรยุทธ อยู่วิทยา ที่รองอัยการสูงสุดได้มีคำสั่งไม่ฟ้องเพื่อหาทางนำตัวผู้กระทำผิดมารับโทษตามกฎหมาย พร้อมทั้งให้ศึกษาปัญหาระบบสอบสวนและการสั่งคดีของพนักงานอัยการเสนอแนวทางแก้ไขให้ดำเนินการเพื่อป้องกันการทุจริตประพฤติมิชอบในระบบตำรวจและงานสอบสวนนั้น
สถาบันเพื่อการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม (สป.ยธ.) เห็นว่า ปัญหาสำคัญที่สุดเกิดจากงานสอบสวนความผิดอาญาแทบทั้งหมดได้ถูกผูกขาดโดยสำนักงานตำรวจแห่งชาติแต่เพียงองค์กรเดียวทั้งในกรุงเทพมหานครและส่วนภูมิภาค ด้วยอำนาจของรัฐบาลเผด็จการที่ออกข้อบังคับกระทรวงมหาดไทยไว้ในปี พ.ศ.2506 ซ้ำยังขาดการตรวจสอบจากภายนอก ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายปกครอง ผู้ว่าราชการจังหวัด และนายอำเภอ แม้กระทั่งพนักงานอัยการระหว่างสอบสวนตามหลักสากลอย่างสิ้นเชิง เป็นช่องทางให้พนักงานสอบสวนฝ่ายตำรวจของไทยซึ่งมีจุดอ่อนที่ระบบการปกครองแบบมีชั้นยศ และวินัยเช่นเดียวกับทหาร สามารถถูกผู้บังคับบัญชาสั่งการโดยมิชอบ ที่มักกระทำด้วยวาจาให้สอบสวนเพื่อกลั่นแกล้ง แจ้งข้อหาต่อประชาชน เสนอให้อัยการสั่งฟ้อง หรือจะล้มคดีเสนอให้สั่งไม่ฟ้องเพื่อช่วยผู้กระทำผิดกันอย่างไรก็ได้ ซึ่งตำรวจผู้เป็นพนักงานสอบสวนแทบทุกคนล้วนจำใจต้องกระทำตามคำสั่งที่มิชอบนั้นด้วยกันทั้งสิ้น ทั้งนี้ เพื่อมิให้ถูกกลั่นแกล้งจากการถูกผู้บังคับบัญชาจับผิดลงโทษทางวินัยให้เสียอนาคต หรือแต่งตั้งโยกย้ายให้ได้รับความเดือดร้อนได้หลายรูปแบบ
ปัญหาดังกล่าวจำเป็นต้องได้รับการปฏิรูปอย่างเร่งด่วน ตามแนวทางที่สำคัญในระยะแรกดังนี้1. แยกงานสอบสวนให้เป็นสายงานเฉพาะจากตำรวจฝ่ายป้องกันอาชญากรรมในลักษณะเดียวกับงานนิติวิทยาศาสตร์เพื่อสร้างความรู้ความชำนาญ และหลักประกันความเจริญก้าวหน้าในสายงานโดยการตรวจสอบการปฏิบัติงานของพนักงานสอบสวนและการเสนอสำนวนต่อพนักงานอัยการ ให้กระทำโดยพนักงานสอบสวนอาวุโสผู้ได้รับการแต่งตั้งเป็นหัวหน้างานสอบสวนและหัวหน้าพนักงานสอบสวนสถานีและกองบังคับการเท่านั้น2.การสั่งงานสอบสวนในส่วนที่เกี่ยวกับคดี ต้องกำหนดให้กระทำเป็นลายลักษณ์อักษรทุกครั้ง เช่นเดียวกับการปฏิบัติงานของพนักงานอัยการ3. การสอบปากคำบุคคล ไม่ว่าจะในฐานะผู้กล่าวหา ผู้ต้องหาหรือพยาน ต้องกำหนดให้บันทึกภาพและเสียงเป็นหลักฐานให้พนักงานอัยการและศาลเรียกตรวจสอบได้ทุกคดี 4. คดีฆาตกรรมหรือสงสัยว่าน่าจะเกิดจากการฆาตกรรม พนักงานสอบสวนต้องแจ้งให้นายอำเภอ พนักงานอัยการ เจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐาน และแพทย์ ร่วมตรวจสถานที่เกิดเหตุและรวบรวมพยานหลักฐาน ลงลายมือชื่อรับรองไว้พร้อมกัน
5.คดีที่มีอัตราโทษจำคุกตั้งแต่สิบปีขึ้นไป หรือคดีที่มีผู้ร้องเรียนต่อพนักงานอัยการว่าการสอบสวนมิได้เป็นไปตามกฎหมาย หรือพนักงานสอบสวนไม่รับคำร้องทุกข์ ให้อัยการมีอำนาจเข้าตรวจสอบและสั่งการสอบสวนคดีนั้นได้6.การออกหมายเรียกบุคคลเป็นผู้ต้องหาหรือเสนอศาลออกหมายจับ ต้องได้รับความเห็นชอบจากพนักงานอัยการในการตรวจสอบพยานหลักฐาน โดยอัยการจะเห็นชอบได้ ก็ต่อเมื่อมั่นใจว่า คดีมีพยานหลักฐานเพียงพอที่จะพิสูจน์ความผิดให้ศาลลงโทษจำเลยได้สอดคล้องกับหลักสากลเท่านั้น7.กระจายอำนาจสอบสวนโดยกำหนดว่า “กระทรวง กรมที่มีฐานะเป็นเจ้าพนักงานตามกฎหมายใด ให้มีอำนาจสอบสวนความผิดนั้นด้วย โดยไม่ตัดอำนาจของพนักงานสอบสวนที่ดำเนินการสอบสวนไปตามอำนาจหน้าที่ของตน” เพื่อเป็นการกระจายอำนาจสอบสวนความผิดเฉพาะทางให้แต่ละหน่วยสามารถดำเนินคดีได้เอง
ประเด็นการแยกงานสอบสวนตามข้อ 1 สามารถกระทำได้โดยเสนอให้นายกรัฐมนตรีนำร่าง พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติฉบับที่ นายมีชัย ฤชุพันธุ์ เป็นประธานและได้เสนอต่อนายกรัฐมนตรีไว้ นำเข้าสู่สภาเพื่อตราเป็นกฎหมายบังคับใช้ส่วนประเด็นตามข้อ 2-7 สามารถกระทำได้ด้วยการเสนอให้นายกรัฐมนตรีนำร่าง พ.ร.บ. แก้ไขเพิ่มเติม ป.วิอาญา ของคณะกรรมาธิการกฎหมายฯ ที่สภาผู้แทนราษฎรมีมติเห็นชอบเมื่อวันที่ 18 มิ.ย. 2563 และประธานรัฐสภาได้เสนอไว้ นำเข้าสู่การพิจารณาของสภาเพื่อแปรญัตติเพิ่มเติมในข้อ 2,3,4,6 และ 7 เพื่อตราเป็นกฎหมายต่อไป.