ครม.อนุมัติโครงการประกันรายได้เกษตรกรชาวสวนยางพาราและโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว 61,000 ล้านบาท
เมื่อวันที่ 3 พ.ย. ภายหลังการประชุมครม.ที่จ.ภูเก็ต พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม เปิดเผยว่า ที่ประชุมครม.อนุมัติโครงการประกันรายได้เกษตรกรชาวสวนยางพารา ระยะที่ 2 และโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2563-2564 รอบที่ 1 รวมทั้งมาตรการอื่นๆ วงเงินรวมจำนวน 61,000 ล้านบาท
แบ่งเป็นโครงการประกันรายได้เกษตรกรชาวสวนยางพารา วงเงิน 10,042 ล้านบาท ขณะที่โครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวฯ และมาตรการคู่ขนาน วงเงิน 51,248 ล้านบาท ครอบคลุมเกษตรกร 2.9 ล้านครัวเรือนทั่วประเทศ
สำหรับโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว กำหนดประกันรายได้ข้าว 5 ชนิด ความชื้นจะต้องไม่เกินร้อยละ 15 ได้แก่ 1. ข้าวเปลือกหอมมะลิ ราคาประกันตันละ 15,000 บาท ไม่เกินครัวเรือนละ 14 ตัน 2. ข้าวเปลือกหอมมะลินอกพื้นที่ ราคาประกันตันละ 14,000 บาท ไม่เกินครัวเรือนละ 16 ตัน 3. ข้าวเปลือกเจ้า ราคาประกันตันละ 10,000 บาท ไม่เกินครัวเรือนละ 30 ตัน 4. ข้าวเปลือกหอมปทุมธานี ราคาประกันตันละ 11,000 บาท ไม่เกินครัวเรือนละ 25 ตัน และ 5. ข้าวเปลือกเหนียว ราคาประกันตันละ 12,000 บาท ไม่เกินครัวเรือนละ 16 ตัน
ส่วนโครงการประกันรายได้เกษตรกรชาวสวนยาง ครอบคลุมเกษตรกรชาวสวนยางกว่า 1.8 ล้านราย พื้นที่ปลูกยางพารากว่า 18 ล้านไร่ โดยยึดหลักเกณฑ์เดิมตามโครงการระยะที่ 1 คือ ประกันรายได้ยาง 3 ชนิด คือ ยางแผ่นดิบคุณภาพดี ราคา 60 บาทต่อกิโลกรัม น้ำยางสด ราคา 57 บาทต่อกิโลกรัม และยางก้อนถ้วย ราคา 23 บาทต่อกิโลกรัม โดยกำหนดปริมาณผลผลิตยางที่จะประกันรายได้ คือ ผลผลิตยางแห้ง จำนวนไม่เกิน 20 กิโลกรัม/ไร่/เดือน และผลผลิตยางก้อนถ้วย (DRC 50%) จำนวนไม่เกิน 40 กิโลกรัม/ไร่/เดือน
สำหรับเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการ จะต้องขึ้นทะเบียนกับการยางแห่งประเทศไทย (กยท.) เป็นสวนยางอายุ 7 ปีขึ้นไปที่เปิดกรีดยางไปแล้ว รายละไม่เกิน 25 ไร่ มีสัดส่วนแบ่งรายได้ระหว่างเจ้าของ 60% และคนกรีดยาง 40% ส่วนระยะเวลาโครงการ เดือนกันยายน 2563 – กันยายน 2564 (ประกันรายได้ ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2563 – 1 มีนาคม 2564) ทั้งนี้ ราคายางยางแผ่นรมควันชั้น 3 ในช่วงที่ผ่านมา ขยับเกิน 80 บาทต่อกิโลกรัม ทำให้ไม่ต้องจ่ายเงินชดเชย