ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 32.73 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลงหนัก” ในรอบ 3 สัปดาห์หลังดอลลาร์แข็ง-บอนด์ยีลด์พุ่งรับผลบวกจากตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯดีกว่าคาด-เฟดตรึงดอกเบี้ย 4.25-4.5%
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 32.73 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลงหนัก” ในรอบ 3 สัปดาห์ จากระดับปิดวันที่ผ่านมา ณ ระดับ 32.49 บาทต่อดอลลาร์ โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) ทยอยอ่อนค่าลงต่อเนื่อง ทะลุโซนแนวต้าน 32.50 บาทต่อดอลลาร์ เข้าใกล้โซนแนวต้านถัดไปในช่วง 32.70-32.80 บาทต่อดอลลาร์ (แกว่งตัวในกรอบ 32.47-32.75 บาทต่อดอลลาร์)
กดดันโดยการแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องของเงินดอลลาร์ ที่มาพร้อมกับการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปีสหรัฐฯ และการปรับตัวลดลงต่อเนื่องของราคาทองคำ (XAUUSD) จนหลุดโซนแนวรับ 3,300 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หลังรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯต่างออกมาดีกว่าคาด โดยเฉพาะยอดการจ้างงานภาคเอกชน โดย ADP ที่เพิ่มขึ้น ราว 1.04 แสนราย ดีกว่าที่ตลาดประเมินไว้ 7.7 หมื่นราย ทำให้ผู้เล่นในตลาดเริ่มปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด นอกจากนี้ผลการประชุม FOMC ของเฟด
ล่าสุดแม้ว่าเฟดจะมีมติไม่เป็นเอกฉันท์ 9-2 ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 4.25-4.50% แต่ประธานเฟด Jerome Powell ยังคงย้ำจุดยืน ไม่เร่งรีบปรับลดดอกเบี้ยนโยบาย เพื่อรอประเมินผลกระทบจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ให้รอบด้าน และไม่ได้ส่งสัญญาณว่าเฟดพร้อมจะกลับมาลดดอกเบี้ยในการประชุม FOMC เดือนกันยายน ตามที่ตลาดคาดหวัง ทำให้ผู้เล่นในตลาดยิ่งปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด โดยล่าสุด โอกาสเฟดลดดอกเบี้ย 2 ครั้งในปีนี้ลดลง เหลือเพียง 39% ทั้งนี้การอ่อนค่าของเงินบาทก็ถูกชะลอลงบ้าง ตามแรงขายทำกำไรเงินดอลลาร์ของผู้เล่นในตลาดบางส่วน อีกทั้งราคาทองคำก็รีบาวด์ขึ้นบ้างจากหลังปรับตัวลดลงหลุดโซนแนวรับระยะสั้น
บรรยากาศตลาดหุ้นสหรัฐฯยังคงอยู่ในภาวะระมัดระวังตัว แม้จะได้แรงหนุนจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯที่ออกมาดีกว่าคาด ทว่า ตลาดหุ้นสหรัฐฯก็ถูกกดดันจากแนวโน้มเฟดยังคงไม่เร่งรีบลดดอกเบี้ย ส่งผลให้โดยรวมดัชนี S&P500 ปิดตลาด -0.12% อย่างที่ตลาดคาดหวัง ทั้งนี้รายงานผลประกอบการของหุ้นเทคฯใหญ่ อย่าง Meta และ Microsoft ที่ออกมาดีกว่าคาด ก็พอช่วยหนุนให้บรรยากาศในฝั่งตลาดหุ้นสหรัฐฯมีแนวโน้มดีขึ้น สะท้อนจากการปรับตัวขึ้นของสัญญาฟิวเจอร์สตลาดหุ้นสหรัฐฯ ราว +0.8%
ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ย่อตัวลงเล็กน้อย -0.02% หลังผู้เล่นในตลาดต่างรอลุ้นผลการประชุม FOMC ของเฟด รวมถึงรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน ทั้งนี้บรรยากาศตลาดหุ้นยุโรปยังคงเผชิญแรงกดดันบ้าง จากความกังวลผลกระทบจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ หลังสหภาพยุโรปได้บรรลุข้อตกลงการค้ากับสหรัฐฯล่าสุด
ส่วนในฝั่งตลาดบอนด์ บอนด์ยีลด์ 10 ปีสหรัฐฯพลิกกลับมาปรับตัวสูงขึ้นสู่ระดับ 4.36% สอดคล้องกับการปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด หลังผู้เล่นในตลาดทยอยรับรู้ รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯที่ออกมาดีกว่าคาด และท่าทีของเฟดที่ย้ำจุดยืนไม่เร่งรีบลดดอกเบี้ย เราประเมินว่า บอนด์ยีลด์ 10 ปีสหรัฐฯอาจปรับตัวสูงขึ้นต่อได้บ้าง หลังตลาดรับรู้ แนวโน้มการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ และรายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ อย่าง ยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม (Nonfarm Payrolls)
ซึ่งเราคงมุมมองเดิมว่า ผู้เล่นในตลาดควรรอจังหวะบอนด์ยีลด์ระยะยาวสหรัฐฯปรับตัวสูงขึ้น ในการทยอยเข้าซื้อ หลัง Risk-Reward มีความน่าสนใจมากขึ้น โดยเฉพาะในช่วงโซน 4.40%-4.50% สำหรับบอนด์ยีลด์ 10 ปีสหรัฐฯ (สามารถเน้นทยอยซื้อ Buy on Dip ได้)
ทางด้านตลาดค่าเงินนั้นพบว่า เงินดอลลาร์ทยอยแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง หลังผู้เล่นในตลาดทยอยปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด ตามท่าทีของเฟดที่ย้ำจุดยืนไม่เร่งรีบลดดอกเบี้ย และรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ต่างออกมาดีกว่าคาด ทั้งนี้ ผู้เล่นในตลาดบางส่วนได้ใช้จังหวะเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้น ในการขายทำกำไรการปรับตัวขึ้นของเงินดอลลาร์ในช่วงที่ผ่านมาบ้าง ส่งผลให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 99.8 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 98.8-99.9 จุด)
ส่วนของราคาทองคำ การปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด ซึ่งหนุนให้ทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปีสหรัฐฯต่างปรับตัวสูงขึ้น ได้กดดันให้ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค.2025) ปรับตัวลดลงกว่า -1.4% สู่โซน 3,330-3,340 ดอลลาร์ต่อออนซ์
สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น ผลการประชุมธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) โดยเราประเมินว่า BOJ อาจคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 0.50% เพื่อรอประเมินผลกระทบต่อเศรษฐกิจญี่ปุ่นจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ทั้งนี้เราคงมุมมองเดิมว่า BOJ อาจเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ย 25bps ได้ในการประชุม BOJ เดือนธันวาคม หากเศรษฐกิจญี่ปุ่นยังคงขยายตัวได้ดี ส่วนอัตราเงินเฟ้อก็ยังคงมีแนวโน้มอยู่ที่ระดับเป้าหมาย 2.0% ได้ในระยะกลาง-ยาว
นอกจากนี้ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นรายงานข้อมูลตลาดแรงงานญี่ปุ่นในเดือนมิถุนายน (รับรู้ในช่วงราว 6.30 น. ของเช้าวันศุกร์นี้) ส่วนในฝั่งจีน ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นรายงานดัชนี PMI ภาคการผลิตและภาคการบริการ ในเดือนกรกฎาคม เพื่อประกอบการประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจจีน
ส่วนในฝั่งสหรัฐฯ ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นรายงานอัตราเงินเฟ้อ PCE ในเดือนมิถุนายน พร้อมทั้งรอประเมินแนวโน้มตลาดแรงงานสหรัฐฯผ่านรายงานทั้ง Challenger Job Cuts ในเดือนกรกฎาคม และยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน (Jobless Claims)
ซึ่งผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน โดยเฉพาะบรรดาหุ้นเทคฯใหญ่ อย่าง Apple และ Amazon พร้อมรอติดตามแนวโน้มการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯกับบรรดาประเทศคู่ค้าอย่างใกล้ชิด ส่วนในฝั่งไทย สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชา ก็จะเป็นอีกปัจจัยที่ผู้เล่นในตลาดต่างรอติดตามเช่นกัน
สำหรับแนวโน้มของค่าเงินบาท มีโอกาสทยอยอ่อนค่าลงต่อได้ หลังเงินบาทได้อ่อนค่าทะลุโซนแนวต้าน 32.50 บาทต่อดอลลาร์ได้อย่างชัดเจน (หากประเมินด้วยกลยุทธ์ Trend-Following) อย่างไรก็ดี การอ่อนค่าของเงินบาทอาจเป็นไปอย่างจำกัดได้ หลังผู้เล่นในตลาดได้ปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ย 2 ครั้งของเฟด ในปีนี้ ลงมาพอสมควรแล้ว
โดยล่าสุด ผู้เล่นในตลาดให้โอกาสที่เฟดจะลดดอกเบี้ย 2 ครั้งในปีนี้ เพียง 39% ทำให้เรามองว่า หากเงินบาทจะเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าเพิ่มเติม อาจจะต้องเห็นการปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดจนเหลือ 1 ครั้ง หรืออาจจะน้อยกว่านั้น ซึ่งต้องอาศัยทั้งการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ ที่ควรจะมาพร้อมกับการปรับตัวลดลงหนักของราคาทองคำ โดยภาพดังกล่าวจะเกิดขึ้นได้ หากรายงานข้อมูลการจ้างงานของสหรัฐฯยังคงออกมาสดใส โดยเฉพาะยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม (Nonfarm Payrolls) ในวันศุกร์นี้
จากภาพดังกล่าวมองว่า ผู้เล่นในตลาดต่างคาดหวังไปพอสมควร ว่า รายงานข้อมูลการจ้างงานสหรัฐฯในวันศุกร์นี้ ควรสะท้อนภาพตลาดแรงงานสหรัฐฯที่สดใสอยู่ ทำให้หากตลาดผิดหวังกับรายงานข้อมูลดังกล่าว ก็อาจทำให้เกิดการ Repricing หรือปรับมุมมองต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดใหม่อีกครั้ง กดดันให้ทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปีสหรัฐฯพลิกกลับมาปรับตัวลดลง ทำให้เงินบาทยังคงมีความเสี่ยง Two-Way risk หรือพร้อมจะเคลื่อนไหวได้สองทิศทางอยู่
ทั้งนี้หากบรรยากาศในตลาดการเงินเริ่มกลับมาอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยง (Risk-On) หนุนโดยผลประกอบการของบรรดาหุ้นเทคฯใหญ่สหรัฐฯที่ทยอยออกมาดีกว่าคาด เรามองว่าเงินบาทก็อาจขาดแรงหนุนฝั่งแข็งค่าไปบ้าง ตราบใดที่ราคาทองคำเผชิญแรงกดดันจากภาวะเปิดรับความเสี่ยงดังกล่าว ขณะเดียวกัน เรามองว่าภายใต้ภาวะดังกล่าว หากเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นด้วย การแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ก็อาจเป็นไปอย่างจำกัดได้ ในกรณีที่ผู้เล่นในตลาดไม่ได้เชื่อว่า เงินดอลลาร์จะกลับมาเป็นแนวโน้มแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง เหมือนในช่วงก่อนหน้า และเลือกที่จะเพิ่มอัตราการป้องกันความเสี่ยงในกรณีที่เงินดอลลาร์อาจอ่อนค่าลง (เพิ่ม Hedging ratio)
นอกจากนี้มองว่า ยังคงต้องรอลุ้นผลการเจรจาการค้าระหว่างไทย-สหรัฐฯ ซึ่งหากสุดท้ายสินค้าส่งออกของไทยเผชิญอัตราภาษีนำเข้าสูงถึง 36% เราประเมินว่าเงินบาทก็เสี่ยงอ่อนค่าลงอีกได้ราว 1.2% อ้างอิงจากการเคลื่อนไหวในช่วงหลัง Liberation Day
อย่างไรก็ตาม ความผันผวนของเงินบาทที่อาจกลับมาสูงขึ้นได้ ท่ามกลางความไม่แน่นอนของการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ และสถานการณ์การเมืองไทย ซึ่งเรามองว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ Options เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.60-32.85 บาทต่อดอลลาร์



















